Monday, April 30, 2012

หนังสือน่าอ่าน การลาออกครั้งสุดท้าย


เห็นหน้าปก ผมก็งงๆอยู่ แต่ก็ถือว่าน่าสนใจดีสำหรัยการเขียนแบบนี้ เพราะส่วนตัวก็กำลังวางแผนในเรื่องการไม่ต้องทำงานประจำไปจนวันตายน่ะครับ 

ตอนแรกก็ไม่ได้คิดซื้อหรอ เพราะหนังสือหุ้นกองใหญ่ ยังไม่หมดเลย ไหนจะมีเรื่องประชุมผูถือหุ้นอีกมากมายในเวลานั้นๆ ก็เลยปล่อยผ่านไป 

จนมีพี่คนนึง ที่ผมรู้จัก ได้ลาออกไปก่อนที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้อีก(พี่แกบอกผมเอง) แนะนำให้ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แบบไม่ได้แนะนำ งงป่ะ คือพี่แกเล่นเอามาลงในรูป Profile Facebook เลย ผมเลยต้องไปซื้อมาอ่านจนได้ 

ก็เป็น "บรรทึก" เรื่องราวของชายคนนึง ตั้งแต่เรื่องงานวันแรกที่เริ่มทำงานด้วยความรัก ความตั้งใจและความแน่วแน่ ความหวังที่จะเป็นประโยชน์ของบริษัทให้ถึงที่สุด ความต้องการเงิน เพื่อนฝูง และเมื่อเวลาผ่านไป หลายๆอย่างก็ผ่านไป เริ่มเห็นในสิ่งที่แย่ ไม่ว่าร่างกายที่ทรุดโทรม ไม่ว่าอารมณ์ที่แย่ เครียดทำให้คนหลายๆคนใกล้ตัวแย่ไปด้วย การที่ไม่มีเวลาให้กับใครเลย เริ่มรู้ว่า การที่จะได้เป็นใหญ่เป็นโต มันยากมาก เพราะต้องแข่งกันกับเพื่อนๆที่ทำงาน และตำแหน่งที่สูงเงินเดือนมากๆ ที่ว่างน้อยลงทุกที จนวันสุุดท้ายที่ลาออก 

รวมไปถึงวันแรกที่ว่างงาน มีความสุข เห็นคนอื่นไปทำงานแต่เราสบาย ไม่มีใครมาสั่งมาสอน ไม่ต้องทำอะไร ว่างไปวันๆ จนเริ่มรู้สึกเหงาที่ไม่มีเพื่อนเลย ไม่มีอะไรทำเลย เริ่มจิตตก กังวล มองโลกแง่ร้าย กลัวคนนู้นว่าคนนี้นินทา เริ่มนิสัยเสีย หาเรื่องไปวันๆ ไปจนวันสุดท้ายที่ว่างงานเลยทีเดียว

เป็นงานเขียนที่สนุกมาก มีสาระพร้อมไร้สาระได้ตลอดเวลา มีมุขฮาเรื่อยๆ คติสอนใจจากคนอื่นๆ รวมถึงตัวเขาเองด้วย นอกจากนั้นมีเรื่องเกียวกับการลงทุนอยู่ในเนื้อเรื่องด้วย แม้จะเป็นเพียงเบื้องต้น แต่สำหรับ "คนที่อยากจะรวย" ต้องรู้เท่านั้น 

ส่วนที่ผมชอบและข้อคิดต่างๆ เล็กๆน้อยๆนะครับ 
  • บางครั้งการทำงานหนักเกินไป ผลที่ตามมาอาจไม่คุ้มค่าเลย
  • การทำงานที่ดี คือทำให้สิ่งที่ชอบ ไม่ใช่การทำงานที่ได้ผลตอบแทนสูง
  • คนจนคือคนที่ใช้จ่าย มากกว่า รายได้ และไม่คิดถึงอนาคต
  • อะไรสักอย่างที่เราคิดว่าดีไปหมด แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ มันมีอะไรแย่ๆ แฝงอยู่แน่นอน
  • หลายคนที่มีงานทำอาจะอยากว่างงาน แต่หลายคนที่ว่างงานอยากมีงานทำ
  • การที่คนจะเกษียรได้อย่างมีความสุข อาจไม่ใช่การว่างงาน แต่เป็นการทำงานอะไรบางอย่างที่เหมาะกับตนและชอบที่จะทำมันมากกว่า


Friday, April 27, 2012

ประชุมผู้ถือหุ้น APCO

ได้มีโอกาศไปประชุมผู้ถือหุ้น APCO มา เข้าใจว่าเป็นบริษัทเดียวในหลักทรัพย์ ที่ทำธุรกิจขายตรงนะครับ ที่อาคาร RS tower 

เมื่อขึ้นมาด้านบนก็พบว่า มีป้ายโฆษณาเต็มเลย ก็ตามภาพที่เห็นนี่ล่ะครับ






เจอขนมปังลวงโลกเข้าไป งงไป 3 ตลบเลย มันทำได้ไง(ว่ะ)





ก็ช่วงระหว่างรอการประชุม ผมก็อ่านนู้นอ่านนี้ไป แล้วก็เห็นคนข้างๆคุยกันเรื่อง สินค้าของ APCO ก็เลยหันไปคุยด้วยนิดหน่อย นิดหน่อยจริงๆ

คือผมได้พูดนิดหน่อยครับ แต่เขาพูดเป็นไฟเลยครับ แบบหยุดไม่ได้เลย ก็คือเขาเป็นตัวแทนขายสินค้า และก็ยังมาซื้อหุ้นด้วย เพราะว่าเชื่อว่า สินค้าของ APCO มันดีจริงๆ นอกจากนั้นที่ขาดไม่ได้ของตัวแทนคือการชวนผมเข้ารวมขบวน APCO ด้วย

เชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้จักบริษัทนี้ดี เดียวขออธิบาย ย่อๆ ก่อนนะครับ มันขายตรง 

คิดว่าย่อเกินไป ขยายหน่อยล่ะกัน ก็เป็นบริษัท ที่ผลิตสินค้า ลดความอ้วนแบบทาที่ไหน นวดตรงนั้น ยุบเห็นผลเลย และก็ สินค้าที่เป็นยา อาหารเสริมมากกว่า เป็นน้ำจากปอกมังคุด และก็น้ำผักอื่นๆ ก็รักษาค่อนข้างครอบจักรวาลไปหน่อย ตั้งแต่ กรดไหลย้อน เข่าเสื่อม ยัน มะเร็งเลย น่าเสียดาย รักษาเอดส์ยังไม่ได้ 

หลังจากนั้น ก็ได้เวลาเปิดประชุม ผู้ถือหุ้นครั้งแรกล่ะ (เกือบโดนไปเป็นเครือข่ายล่ะ)

เป็น วาระนะ แต่ว่าเมื่อประชุมครั้งแรก เลยงงกันไปหมดเลย ผมก็เลยไม่ได้จดด้วยเลย เพราะว่า ผบ ให้คำถามทั้งหมด และ เสนอแนะ ไปอยู่หลังสุด ทีเดียวเลย มึนเลย เลยมีคนยกมือ ต่อว่าเรื่องตรงนี้ (แต่พูดจาแย่ จนบรรยากาศเสียหมดเลย



  1. รายได้หลักสูงมาก แต่ต้นทุนต่ำมาก เพราะอะไร (ต้นทุนสินค้าเพียง 20%) 
  2. ค่าใช้จ่ายในการค้าสูงมากเลย ( 50% ได้)
  3. ปี 53 พนักงาน 42 ปีนี้เหลือ 41 แต่ทำไมเงินเดือนรวมมันเพิ่มขึ้นล่ะ




  1. สาเหตุที่ต้นทุนต่ำ เพราะไม่ได้คิดค่าลิขสิทธิ์ ค่าเวลาที่คิดค้นสินค้า 
  2. ค่าใช้จ่ายในการปันผลให้กับตัวแทนผู้จำหน่วยสินค้าของบริษัท (ธุรกิจเครือข่าย)
  3. คิดว่า พนักงานที่ออกเป็นพนักงานที่เงินเดือนต่ำ แต่ที่รับเข้ามาเป็นพนักงานที่ฉลาดกว่า เก่งกว่า เลยแพงขึ้น 
Q งบการเงิน มีการเอาเงินไปฝากตั่วการเงินไว้ จะครบกำหนดแล้ว ไม่ทราบว่าจะเอาไปทำอะไรต่อ

A ยังเป็นความลับอยู่ แต่จะเอาไปใช้แน่นอน

Q  (ผมถามเองล่ะ)
  1. ทำไมที่ต่างประเทศ ยอดขายหายไป
  2. เรื่องรายได้ ทำไมส่วนใหญ่ ลดลง ที่ยังอยู่ก็เป็นรายได้จากการขายสินค้าบำรุง
A ลูกค้าในต่างประเทศแย่งกัน จนขายไม่ได้ ตอนนี้กำลังสร้างทางใหม่อยู๋

งงเลย ลูกค้าแย่งกัน เลยขายไม่ได้ ไม่เคยพบเห็นเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย

เสนอแนะ ให้เปลี่ยนคำในใบลงคะแนนเป็น เห็นชอบ ไม่เห็นชอบ งดออกเสียง 

Q เรื่องปันผล 100% กลัวว่าจะไม่มีจ่ายในปีถัดๆ ไป และไม่มีเงินไปลงทุน

A เป็นไปตามหลักการทำงาน ถ้ามีก็จ่าย ตอนนี้ก็ยังมีอยู่เยอะ 

Q ความคืบหน้าในโครงการ 1 อำเภอ 1 ศูนย์ แล้วรายได้ต่อศูนย์ เท่าไหร

A ในไทยคาดว่ามีประมาณ 900 อำเภอ หลักการคืออยากให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงและใกล้ชิด เพราะต้องการให้มีคำแนะนำให้ถูกต้อง (อย่างไม่เป็นไร ก็วันละ 2 เม็ด เป็นมะเร็ง 9 เม็ดต่อวัน) มันจะใช้ได้ผลอย่างแน่นอน ตอนนี้มี 130 ศูนย์ การตั้งศูนญ์ 60,000 บาท ส่งคือบริษัท 30,000 บาท 

(ไม่เข้าใจเท่าไหรนะครับ)

Q สัดส่วนรายได้ที่ดีที่สุด คือช่องทางเครือข่าย แล้วทางอื่นล่ะ

A ช่องหลักคือเครือข่าย คิดว่าจะส่งเสริมให้มากที่สุด เพราะธุรกิจ เกิดที่นี่ แต่ช่องอื่นๆ ก็คงมีบ้าง แต่ก็ต้องให้ความยุติธรรมกับนักธุรกิจที่ทำด้วย ต่อไปจะเริ่มมีการโฆษณาต่างๆ และโครงการสมัครงานเป็นเจ้าหน้าที่บริการสุขภาพ 

เน้นเรื่อง Oper BIM (อาหารเสริมชนิดหนึ่ง) มากที่สุด นอกจากนั้นก็มี ผลิตภัณต์ จากผลส้มแขก เอามาลดความอ้วนได้ด้วย ที่ทำให้บริษัทโตมาได้ถึงขนาดนี้ และต่อมาก็เปลือกมังคุดด้วย

ตอนนี้กำลังทำสัญญากับทางยุโรป เพื่อนำไปขายที่นั้น และกำลังติดตามเรื่องผลการรักษามะเร็งอยู่ 

สำหรับคนที่สนใจ ก็มีการแนะนำสินค้าทุกๆวันอาทิตย์ 13:00 -15:00 อยู่เสมอ

หลังจากจบ ก็มี Clip VDO แนะนำสินค้า โดยเอาคนที่เคยเป็นโรคมาลองสินค้า จนหายดี แล้วมาคุยกันนะครับ 


บรรทึกช่วยจำ BLA ประมาณการกำไร 55

ประมาณการ กำไรปี 55 BLA


เมื่อเอา เป้าหมายมา ก็จะพบว่า 
FYP 9,300ล้าน
RP 25,300 ล้าน
TP 34,600 ล้าน โดยประมาณ 
ข้อสังเกตุ RPปีนี้ มาจาก TP ปีก่อนเพียง 80% (TP54 31,500ล้าน) ก็ไม่เหนือความคาดหมายจากเบี้ย 52 53 ที่หมดไป

สินทรัพย์เพื่อการลงทุนปี 54 คือ 107,932 (asset 112,459 - สินทรัพย์ไม่ได้ลงทุน ประมาณ 4%)
ประมาณปี 55 คือ 137,000 (ประมาณจาก เอา ASSET54 + TP 55)

รายได้จากการลงทุน น่าจะ 5.03 /((137,000+108,000)*2)
สัก 6,162 

รายได้จาก เบี้ยใหม่ ปกติเบี้ยใหม่จะหายไปหน่อย (ประมาณ 1.4%) ก็จะได้ประมาณ 34,160

จัดสำรอง 65% ก่อนใครเลย 22,200 

รายจ่ายอื่น เอาปีก่อน เพิ่มขึ้น 7% ยกเว้น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 2 เท่าเลย และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 20% 
รวม 12,200 (ปีก่อน 10,978)


สรุป รายได้จากเบี้ย + รายได้จากการลงทุน - สำรอง - ค่าใช้จ่าย = 34,160 + 6,162 - 22,200 - 12,200 = 5,922

หัก ภาษี 25% ก็เหลือ 4441.5 ก็หุ้นล่ะ 3.7 บาท (ปีก่อน 2.85 ก็ +30%)

ตอนนี้ ราคา 45 ก็ PEสัก 12 ก็ok


กรณี อื่นๆ
กรณี สำรอง 63% กำไรจะเป็น 4.13
กรณี สำรอง 65% กำไรจะเป็น 3.7
กรณี สำรอง 67% กำไรจะเป็น 3.27


โอกาสผิดพลาด 100% ครับ ถ้ารู้รวยไปแล้ว

Thursday, April 26, 2012

ประชุมผู้ถือหุ้น BLA




ตอนเช้าเราก็ไม่แน่ใจรถจะติดไม(พูดเหมือนมีรถ) คนจะเยอะไม เลยรีบออกแต่เช้าเลย

ขึ้น BTS ไปลงอโศก (ปล.ไปเอาใบประชุมของแฟนหน่อย) แวะกินมาม่าคัพข้างCPALL แก้ร้อนหน่อย (ทีนี้ร้อนโครตเลย) 

แล้วก็เดินมาถึงจนได้ เหงื่อแตก ปากแดง ลิ้นพองเลย ไม่น่ากินมาม่าเลย ก็ตอนนี้ 7 โมง (ประชุม 9 โมง เจริญล่ะ)
บรรยาการตอนเช้า 

ตอนมาได้รับมอบฉันทะไป 5 ราย ได้ถุงมาเต็มเลย 

อาหารกล่อง 6 กล่อง รอดไปอีก 6 มื้อ

หนังสือประชุมผู้ถือหุ้น ดันอ่านไม่ทันซะงั้นล่ะ

หน้าตารายชื่อ ท่านกรรมการต่างๆ 

บรรยายกาศภายใน


กระเป๋าลายซะขนาดนี้ 

ที่จริงผมว่าแจกเสื้อเลยดีกว่านะ จะได้โฆษณาไปในตัวเลย


บรรยายกาศในที่ประชุม


คุณ กิติชัย (อยากไปถ่ายรูปด้วย แต่ตัวเหม็นๆ แต่งตัวเน่าๆ เลยเกรงใจ เดียวนึกว่าขอทาน)

วันนี้ได้ไปคุยกับ พนักงานก่อนประชุม ก็เรื่อง BLA นี่ล่ะ พูดไปพูดมา เลยถูกชวนมาทำงานที่ BLA เป็นนักวิเคราะห์ ซะงั้น 

เริ่มการประชุมเลยนะครับ

วาระที่ 1 รับรองรายงานการประชุม 54

วาระที่ 2 รับทราบผลการดำเนินการ 54 

  • สิ้นปี 54 มี สินทรัพย์เพิ่ม 27%
  • สำรองเพิ่ม 29% 
  • อัตราความพอเพียงของกองทุน 222% (ตัวเลขนี้ไม่มั่นใจนะครับ จดไม่ทัน) ตามปกติ 125%
  • รายได้ FYP -9% เกิดจากปีก่อนมีเบี้ยสั้นๆ ที่ขายดีเยอะ แต่ปี 54 ไม่มี
  • RYP +35% 
  • TP เพิ่ม 
  • โดยเบี้ยมาจาก Bank FYP -9% RYP +72% TP+32%
  • เทียบกลุ่มอุสหกรรม FYP เฉลี่ย 5.19% (BLA -9%) RYP 10% (BLA 29%)
  • ลงทุน ตราสารหนี้ 88% หุ้น 7.6% 
  • รายได้รวม +28%  
  • ROI 5.3 ลดลงจากปีก่อน
  • ค่าใช้จ่าย 12% (เทียบ TP 4.3%)
  • ROE 28% ลดลง
  • EV 21.17 (+16.36%) VNB 1.34 (-24.36%) เกิดจากการปรับใช้เกณฑ์การกองทุนบำรุง (จดไม่ทัน) ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
ขออภัย จดไม่ทันจริงๆ คุณ ชาณ พูดน้ำไหลไฟดับเลย

  • เป้าหมายปีหน้า
  • FYP +12.6%
  • RYP +8.8%
  • TP +9.9%
และแล้ว คุณ กิติชัย ก็ประเดิมเลยครับ

  1. นโยบายการตั้งสำรอง จะตั้งเท่าไหร่ เพราะปีที่ผ่านมา 3 ไตรมาสแรกก็ตั้ง 60 ไตรมาสสุดท้าย ตั้ง 80 
  2. จะบริหารอย่างไรให้ FYP ได้ดังเป้าหมาย (12.6%) หรือจะขายเบี้ยระยะสั้นอีก เบี้ย 2 ปี เหมือน2-3ปีที่ผ่านมา
  3. เห็นว่าตั้งเป้าหมาย ขยายตัวน้อยกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอีก ทำไม 
 
  1. เรื่องการตั้งสำรอง จะใช้เกณฑ์ จากคปภ คือ GPV กับ NPV โดย GPV จะ mark to market ทำให้เมื่อดอกเบี้ยลง ก็ต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น ซึ่งทาง BLA จะเลือก GPV หรือ NPV ก็ขึ้นอยู่กับว่า ตัวไหนต้องสำรองสูง (เลือกตัวที่สูงกว่าเสมอ) และในปีนี้คาดว่าสำรอง 62-66% 
  2. ปีนี้จะออกเบี้ยระยะสั้นอีก แต่จะไม่ให้ออกมามากเกินไป เพื่อลดความเสี่ยง สำรองลง (เบี้ยสั้นจะต้องสำรองสูงกว่าเบี้ยระยะยาว
  3. การทำธุรกิจ ขึ้นอยู่กับการสร้างผลตอบแทน ปันหาคือเกณฑ์ การตั้งสำรองของประกันหลัก จะลดภาษีได้ 65% แต่เบี้ยสั้นๆ จะต้องสำรองมากกว่านั้น (น่าจะหมายถึง พยายามขายเบี้ยทั้งสั้นและยาว เอาให้ลงตัวที่ 65% พอดี)
วาระที่ 3 อนุมัติ งบดุล งบกำไรขาดทุน

Q
  1. ทำไมผลตอบแทนจากการลงทุนมันลดลง (ลงทุกปี) แล้วปีนี้จะได้เท่าไร
  2. นโยบาย 54 ทำไมลดการลงทุนในหุ้น แล้วปีนี้จะลดการลงทุนในหุ้นต่อหรือไม่
A
  1. ปีนี้คาดว่าจะได้ 5.03% (ลงไปอีก) 
  2. สำหรับหุ้น จะเน้นระยะยาวจากเงินปันผล และราคาหุ้นในอนาคต โดยจะลงทุนไม่เกิน 10% ของเงินลงทุน และในทุกปี ก็จะมีเบี้ยใหม่มาเรื่อยๆ ทำให้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นลดลง เพราะไม่ได้ลงทุนเพิ่มเติม ส่วนเรื่องที่จะลงทุน ต้องดูสถาวะด้วย
วาระ 4 ปันผล กำไรสะสม

Q อัตราส่วน เงินกองทุน ต่อ ความเสี่ยง ประมาณ 200% (เมื่อกี้ที่เขียน 222% น่าจะเป็นตัวเดียวกันนะครับ) ตอนนี้ ผบ เห็นว่า มากไป น้อยไป แล้วที่เหมาะสมคือเท่าไร 

ในอนาคตถ้าเงินกองทุนมากไป จะมีโอกาสจ่ายเป็นเงินปันผลมากขึ้นไม อย่าง SCBLIF ยังทำได้เลย

A ความเพียงพอมาจาก Rich Chart จาก ระยะเวลาสินทรัพย์ลงทุน ต่อ ระยะเวลาหนี้สิน (จดไม่ทัน) โดยพยายามยึดสินทรัพย์ลงทุนให้มากขึ้น ระดับที่คิดว่าเหมาะสมคือ 250% ของ CAR ratio  ซึ่งตอนนี้อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ ก็เพิ่มขึ้นจากปี 53 ที่ 7.55ปี เป็น 8.6ปี ในปี54 จะช่วยลด Rich Chart ไปได้ รวมไปถึงการออกแบบประกันแบบใหม่ๆ ก็ช่วยลดต้นทุนเพื่อใช้เป็นระยะยาว 

Q ถ้าอนาคต เงินเกิน 250% แล้ว จะเพิ่มปันผลไม 

A มีความเป็นไปได้ แต่ต้องดูว่า มีโอกาสลงทุนในด้านอื่นๆ หรือไม่ 

เสริม ทุกครั้งที่ต้องจ่ายเงินปันผล ก็ต้องของ คปภ ก่อน เลยไม่อยากขอ ถ้าคิดว่าจะถูกปฎิเสธ แต่ถ้ามั่นใจ ก็จะขอให้

Q ทำไมปีนี้คิดว่า ROI 5.03% เอง แย่ลงไปอีก (ปีก่อน 5.3 5.4 ลดมาเรื่อยๆเลย) 
แล้วก็ SCBLIF ปันผลตั้ง 30 บาท ทั้งที่งบ BLA กับ SCBLIF ก็แข็งพอกัน 

A เรื่อง Payout ratio BLA ,SCBLIF มีการจ่ายเงินปันผลต่างกัน เพราะภาระผูกพันธ์ ต่างกัน และก็ไม่รู้ด้วยว่า SCBLIF เป็นอย่างไร 

อัตราผลตอบแทนจาก Yield Cave ก็ลดลงมาก ถ้าถือเงินในระยะสั้น ก็ทำให้ความพอเพียงต่ำลง เลยต้องลงทุนในตราสารหนี้ที่ดอกแย่ ( 10ปี 3.5%) ทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยลดลง เลยคิดว่าปีนี้ 5.03 % 

(ประมาณว่า ปีก่อนๆ ดอกเบี้ยสูง แต่ปีหลังๆ ดอกต่ำลง แต่ยังได้บุญเก่าจากปีก่อนๆเยอะ)

วาระที่ 5 พิจารณาแต่งตั้งกรรมการ 

วาระที่ 6 ค่าตอบแทน น้อยกว่า 14ล้าน (ปีก่อน 13ล้าน)

วาระที่ 7 พิจารณา ผุ็สอบบัญชี 

วาระที่ 8 อื่นๆ

  1. ทำไม ปีที่แล้ว FYP ลด ทั้งที่ค่าเฉลี่ยโต SCBLIF ยังโตเลย
  2. ทำไมไม่ทำการขายช่องทางอื่นบ้าง อย่างSCBLIF ยังจับมือโลตัสเลย มีตั้งหลายทาง ทำไมไม่ทำบ้าง จะเป็นที่ 5 แล้ว
  3. SCB ก็มีประวัติ จ่ายปันผลน้อยทุกปี แต่ปีนี้เป็นปีแรก เลยอยากให้ BLA จ่ายปันผลเยอะๆบ้าง จะได้ทำให้ ROE สูง DIV สูง คนจะได้สนใจ
ตบมือกันใหญ่ ผบยังตบมือเลย ตกลงยังไงนี่

A ผบตอบย้อนจาก 3 มา 1นะ แต่ผมแก้ให้นะ
  1. เรื่องว่าทำไมโตน้อย ตอบแล้วนะ ส่วนปีนี้ โตยังไง ก็จะพัฒนาแบบประกันให้มีแบบใหม่ที่ดีขึ้น รวมไปถึงการบริหารความเสี่ยงด้านการเงิน การพัฒนาผู้ขายประกัน เป็นผู้วางแผนทางการเงิน ก็น่าจะช่วยให้เบี้ยประกันโตขึ้น
  2. กำลังมุ่งเน้นใช้ช่องทางหลักให้แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็มีการเริ่มให้ธนาคารขนาดกลางและเล็ก มาช่วยขายด้วย (เพิ่มช่องทาง) 
  3. Payout ratio ,Car ratio SCBLIF จะลงทุนหุ้นน้อยมาก เป็นตราสารหนี้เยอะ นอกจากนั้นยังเน้น คุ้มครองเครคิตเยอะ ซึ่งเป็นเบี้ยระยะยาวกว่า ทำให้ CAR สูง BLA มีค่า CAR ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม เลยทำให้จ่ายปันผลมากไม่ได้ 
Q การโฆษณา BLA คิดว่าจำเป็นหรือไม่ เพราะการควบคุมค่าใช้จ่ายของกลุ่ม Bank ขายประกัน BLA ค่อนข้างควบคุมได้ดีเยียม แต่ก็อยากให้มีการโฆษณาบ้าง นะครับ 

A มีการตั้งงบโฆษณามากขึ้นเยอะในปีนี้ แต่ก็ต้องระวังเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะตามมาด้วย 

เสนอแนะ อยากให้มีขายประกันแบบพิเศษ ให้กับผู้ถือหุ้น เพื่อจูงใจ และให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าธรรมดา

Q ได่ยินมาว่า จะมีรายได้จากการขายหน่วยลงทุน คิดว่าจะได้กี่ % 

(อันนี้ฟังไม่ชัด แต่คาดว่าจะหมายถึง คนขายประกัน ที่จะนำเสนอ ทั้งประกันชีวิต ประภัย หน่วยลงทุนอื่นๆด้วย )

A มีทิศทางให้ตัวแทนเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน แบบ One Stop Service รวมไปถึงประกันชีวิต ที่มีส่วนของการลงทุนด้วย ส่วนเรื่องรายได้จากจะหวังผลตอบแทนของการขายประกันชีวิตเป็นหลัก ไม่เน้นอย่างอื่นมากนัก

อนาคตไป จะมีประกันแบบ Unit Link ด้วย ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนเพิ่ม ถ้าBLA ทำ ROI ได้ดี แต่จะมีขั้นต่ำให้ดี เผื่อทำ ROIไม่ได้ตามที่ขาด (ซวยดิ ขาดทุนเลยนะ)

Q เรื่อง Unit Link AIA ทำแล้ว แล้วBLA เมื่อไหร่จะทำ แล้วมันค่อนข้างซับซ้อน กว่าจะสอนตัวแทนให้เข้าใจแล้ว ต้องใช้เวลา แล้วคิดว่าเมื่อไรจะมี

A อยู่ในการเตรียมการ แต่ Unit Link ไม่สามารถ ลดภาษีได้ แถมต้องสำรอง 90% เลยไม่ค่อยเหมาะกับปัจจุบันนัก ตอนนี้กำลังติดต่อกับรัฐบาลอยู่

Q เห็นมีกรรมการญี่ปุ่นอยู่ด้วย ไม่ทราบว่ามี ลูกค้าเป็นคนญี่ปุ่น หรือไปขายในประเทศญี่ปุ่นหรือไม่

A เขาช่วยขยาย เช่น ธุรกิจประกันภัยกลุ่ม ของบริษัทญี่ปุ่น นอกจากนี้ เขายังมีประสบการณ์มากว่า ยาวนานกว่าเราเยอะ เราก็ได้แนวคิดดีๆจากเขามามากเหมือนกัน  

เสนอแนะ อยากให้โฆษณามากขึ้น และตลาดผู้สูงวัยในประเทศไทย เยอะขึ้นมาก แต่ BLA กลับไม่มีในส่วนนี้เลย เลยรู้สึกเสียดายแทน 

Q สรุปเรื่องการเติบโต ปีหน้าเบี้ยโต 9% มันจะโตต่ำกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม อย่างเดือน 1-2 ก็ได้ที่ 4 ไปแล้ว แพ้อีกแล้ว

A พยายามรักษา และขยายตัวอยู่ และกำไรสำคัญมาก จะพยายามรักษาสมดุลในการขยายตัวธุรกิจ กับกำไร อย่างปีก่อนก็เกิดปันหาไปแล้ว

(คาดว่า เบี้ยระยะยาวที่สำรองต่ำ มันค่อยข้างจะขายยากกว่าเบี้ยระยะสั้น ที่สำรองสูง เลยโตมากไม่ได้ ไม่งั้นโดนภาษีเล่นงานอีก เหมือนปีก่อน)

Q อยากเห็นความร่วมมื่อระหว่าง BLA กับ BBL อย่างเรื่องข้อมูลบัตรเครดิต ที่โทรมาก็มีแต่ BKI ทั้งนั้นเลย BLA หายจ๋อมไปเลย เพราะ Credit life ก็สำรองต่ำ เมื่อเทียบกับ ประกันขายผ่านแบงค์

A เห็นด้วย 

(เฮ้ ตอบงี้ได้ไงอ่า)

จบการประชุมนะครับ ก็ยังไงข้อมูลผิดพลาด เขียนผิด ฟังผิด ก็ขออภัยนะครับ

บรรทึกช่วยจำ Kamart 2

ผมยอมแพ้นะครับ ไม่เอาดีกว่า แม้ว่าระยะสั้นๆ อาจจะได้ผลตอบแทนเท่าตัว แต่โอกาสเสียหายก็มากอยู่เหมือนกัน

ถ้าต้องถือหุ้นที่ไม่สบายใจ อย่าไปถือเลยครับ

เหตุผลที่ยอมแพ้นะครับ
  1. จากการไปประชุมผู้ถือหุ้นมา เข้าใจแล้วว่าทำไม TV รถเมล์ NGV ถึงได้เจ็ง เพราะ ผบ เป็นคนที่ค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป จนไม่มองทางลบ หรือทางหนีไว้บ้างเลย 
  2. สินค้า Online แทบไม่มีทางจะจัดการพวกละเมิดลิขสิทธิ์ได้อยู่แล้ว ขนาดตลาดข้างทางยังมีเยอะเลย อะไรที่ขายดีย่อมมีการทำเลียนแบบอยู่แล้ว
  3. พี่สาวผมใช้ของ kamart อยู่ ยังบอกเลยว่า สินค้า แย่ลง อย่างครีมตัวขาว ก็ไม่ขาวเหมือนเมื่อก่อน (เมื่อก่อนทาทีเดียวขาว เดียวนี้ต้องย้ำอีก) ขนาดแม่ค้าบางรายยังบอกเรื่องนี้เลย
  4. การที่ราคาสินค้าแกว่งมาก จากการขายส่งเช่น ขายส่ง 150บาท ตลาดนัดขาย 200 เคาร์เตอร์ขาย 400 shopขาย 300 ในห้างก็ถูกกว่าอีกเพราะไม่เน้นกำไรมาก เป็นการตัดราคากันเองอีกด้วย ทำให้เกิดความเสียหายต่อ shop และ ราคาทางOnline
  5. การควบคุม Shop ที่แย่ ขนาดเอาสินค้าปลอม สินค้าอื่น เข้าไปขายใน Shop เป็นการแสดงให้เห็นถึงการที่ควบคุมไม่ได้เลย ถ้าจะทำ ต้องเป็นแบบ CPALL คือควบคุม รายละเอียดให้หมด
  6. สินค้าค่อนข้างเป็นกระแสมากเกินไป อาจทำให้ในระยะยาว ไม่แข็งแรง พร้อมล้มเมื่อกระแสเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
  7. การบรรทึก รายได้ มาจากการขายส่งให้กับร้านค้าในเครือและคนที่มารับของ ไม่ใช่การขายให้กับลูกค้าเหมือน CPALL ที่บรรทึกรายได้ เมื่อ ขายให้ลูกค้าแล้ว (กรณีนี้อันตรายเพราะจะทำให้ดูเหมือนมีรายได้เยอะทั้งที่สิ่งของยังขายไม่ออกเลย)
  8. การที่ไม่ยอมยกเลิกธุรกิจที่ไม่ดี การที่ไม่ยอมแพ้เมื่อควรยอมเพราะกลัวเสียหน้า การที่ไม่ฟังใคร แล้วพอธุรกิจเสียหายก็อ้างว่า เราไม่ถนัด ผมว่า ไม่ไหวนะ
ส่วนที่น่าลุ้น สำหรับคนที่ถือต่อ
  1. ไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ทำกำไรไว้ 0.09 ต่อหุ้น คาดปีนี้อย่างต่ำๆ 0.4 (ไตรมาสละ 0.1) ที่ราคา 5 บาท น่าจะไปได้อีกไกลอยู่ 
  2. ร้านที่เปิดเพิ่ม ทำให้โอกาสได้บรรทึกรายได้สูงขึ้น (จากการนำสินค้าไปวางขาย ก็ได้แล้ว) ประมาณร้านล่ะ 500,000 บาท 
  3. เรื่องขายผ่าน Online ที่ทาง Kamart พยายามอยู่ ว่าจะสำเร็จหรือไม่
  4. การเปิดร้านค้ามากๆ แล้วเริ่มขายสินค้าให้เฉพาะร้านพวกนี้ อาจทำให้กำไรดีขึ้นแล้ว ไม่มีปัญหาเรื่องตัดราคาอีก 
  5. การเติบโต ของร้านค้าได้อีกอย่างน้อยๆ 5-6 ปี เลย (เมื่อเทียบกับร้านความงามชื่อดัง)

Wednesday, April 25, 2012

ประชุมผู้ถือหุ้น Kamart


วันนี้ได้มีโอกาสมาประชุมผู้ถือหุ้นของ Kamart หุ้นร้อนแรงแห่งปี 12เท่าในปีเดียว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลธุรกิจหลัก 

อุ๊ย เห็นพุงผมเลย


ก็อย่างว่า เราต้องใจมาประชุม แต่สมองย่อมขาดน้ำตาลไม่ได้ ซักหน่อยก่อนประชุมล่ะกัน




หนังสือรายงานผู้ถือหุ้น ครึงแรก ไทย ครึ่งหลัง อังกฤษ


ก่อนเริ่มการประชุม ผมสังเกตุว่า ไม่มีแจกใบ เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ไม่ออกเสียง มานะครับ แปลกมากเลย จากที่ไปประชุมมาหลายๆที

ประชุม kamart
วาระที่ 1

รับรองการประชุมปี 54 และเรื่องประกาศลดทุน ล้างขาดทุน

วาระที่ 2.1

แจ้งผลการดำเนินงาน รายได้ที่เพิ่ม กำไรที่เพิ่ม จากการขยายธุรกิจใหม่

วาระที่ 2.2

จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวด ไตรมาส 1 โดยได้หุ้นล่ะ 0.05บาท

วาระที่ 3.1

พิจารณา อนุมัติงบดุล กำไรขาดทุน
เป็นปีแรกที่ รับรองโดยไม่มีความเห็น (เพราะไม่ขาดทุน)

วาระที่ 3.2

แต่งตั้งผู้สอบบัญชี ค่าตอบแทน

วาระที่ 3.3

เลือกกรรมการใหม่ ทดแทนกรรมการเก่า
ค่าตอบแทนทั้งปี ไม่เกิน 3 ล้าน

วาระที่ 3.4

งดจ่ายปันผล 54 (เนื่องจากลดทุนล้างขาดทุนสะสมไม่ทัน)

วาระที่ 4

อื่นๆ

ก็เริ่มถามกันวาระนี้ล่ะ เห็นเงียบมาตลอดทางเลย

ก็จะมีเรื่อง ผบ นิดหน่อย ที่พูดเร็วมาก จดไม่ทัน

Q การย้ายจากกลุ่ม ยานยนต์ มา ค้าปลีก ได้เมื่อไหร่

A เร็วๆนี้ ส่วนเรื่องที่ล่าช้า เกิดจากทางตลาดหลักทรัพย์รอประขุมในเดือนพฤษถา ทางบริษัทส่งเรื่องไป 2 รอบแล้ว


การย้ายก็อยู่ที่ตลาดหลักทรัพย์ด้วย ถ้ารายได้จากส่วนไหนมากกว่า 70% ก็จะทำการย้ายกลุ่ม 


เพิ่มเติม การแจ้งเริ่มในปลายปีที่แล้ว มีการเจรจาแล้ว แต่ตอนแรกตลาดจะให้เป็นอีกหมวดนึง (คาดว่า อุปโภค บริโภค) และมีการออกต่อว่าตลาดหลักทรัพย์นิดหน่อย


Q ธุรกิจเดินรถ ที่รายได้ลง ขาดทุนเรื่อยๆ จะทำยังไง

A เดินรถเมล์ ท่าน้ำนนท์ สนามหลวง มาจากความคาดหวังด้าน NGV ที่มากเกินไป 


รถเมล์ก็ทำไปเรื่อยๆ ในอีก 10 เดือน ก็จะผ่อนลิลซิ่งหมด และอีก 2 ปี ก็จะผ่อนของ Tisco หมด 


โดยค่าผ่อน เดือนละ ล้านบาท แต่รายได้ 7-8แสน ทำให้ขาดทุนมาตลอด ที่เหลือก็รอผ่อนหมด กระแสเงินสดจะได้เป็นบวก 


ตอนนี้ก็มีรถเมล์วิ่งให้บริการ IKEA ด้วย ได้เพิ่มอีก 7-8 แสนเหมือนกัน 


เป็นธุรกิจที่เราไม่ถนัด ถ้ามีใครต้องการ ก็จะขายให้ทั้งที แล้วนำเงินไปขยาย KAMART ต่อไป


Q ร้าน kamart  มีกี่สาขาแล้ว เป้าหมาย 100 สาขาปีนี้ เป็นยังไง 

A ระหว่างรอเปิดมีเยอะ รวมๆแล้ว 50 สาขาได้ ต่อไปก็จะเปิดเรื่อยๆ ที่ภูเก็ตด้วย และจะมีสินค้าอื่นๆ นอกจากเกาหลี 


โดยรวมแล้ว ยังมีจุดอ่อนอีกเยอะ ต้องแก้ไขไปเรื่อยๆ ต้องปรับปรุงอีกมาก แต่เป็นแนวโน้มที่ดีมากๆ และการหาสินค้าลงในร้านเพิ่มอีก

Q ลูกค้าหลักคือ คนขายสินค้า และ shop โดย คนรับ เยอะกว่า shop อีก ในปีต่อไป คิดว่าจะทำยังไง

A ช่วงเริ่มต้น ธุรกิจ มีการขายเยอะมากๆ เลยเกิดปันหาเรื่องราคามาก เพราะแต่ละที่ไม่เหมือนกัน อย่างตลาดนัดที่ทุนต่ำ หรือห้าง ที่ไม่ต้องการกำไรมากมาย ราคาเลยตัดกันเอง


อนาคตไป จะให้ shop เป็นศูนย์กลางการส่งของด้วย


ธุรกิจออนไลน์ จากบรรลุก็ต้องราคาถูก ส่งของไว ด้วย จากที่สำรวจในประเทศที่เจริญกว่าเรา มีการซื้อขายผ่านเน็ต 30% เลยทีเดียว เลยอยากให้ที่ shop กับ online เป็นราคาเดียวกัน แต่Online จะมีการแถมมากกว่า (แต่ตอนหลังกลับบอกว่าเหมือนกัน งงเลย)


ส่วน Shop ก็จะถูกชวนมากทำออนไลน์ และจะได้เป็นตัวแทนในการส่งสินค้าให้ kamart ด้วย เพื่อแบ่งกำไรด้วย 


วิธีการคร่าวๆ คือ เมื่อ 

  1. ลูกค้าสั่งสินค้าผ่านเน็ตและจ่ายเงินมา 
  2. kamart ก็จะรับเรื่องและเงินไว้ 
  3. Kamart จะแจ้งให้ shop ที่ใกล้ ที่อยู่ลูกค้ามากที่สุด ดำเนินการส่งของ 
  4. เมื่อลูกค้าได้รับสินค้า จะมีการเซ็นรับสินค้ามา
  5. Shop ที่ได้ใบรับสินค้ามา จะมาแจ้งทางkamart เพื่อรับเงิน
  6. กรณี Shop ไม่จัดการใน 3 ชม หรือไม่มีสินค้า ทางKamart ก็จะย้าย Shop เป็นที่อื่นที่ไกลกว่านิดหน่อย
นอกจากนั้น จะให้ shop ดำเนินการขายธุรกิจอื่นๆมาขึ้นด้วย

Q รายได้หลัก ตอนนี้มาจาก คนรับสินค้า ไม่ใช่ Shop 

A คนรับสินค้า เป็นการขายให้กับรากหญ้าเลย อาจจะขายถูกกว่า หรือแพงกว่า Shop ก็ได้

หวังให้ Shop เป็นสัญญาลักษณ์ และเริ่มธุรกิจ Online แล้วด้วย นอกจากนั้น ทางบริษัทเองก็อยากหาผู้ที่จะมาลงทุนทำ stock สินค้าให้กับ Kamart ด้วย (ไว้ส่ง Online) 

( ผมรู้สึกว่า ผบ ตอบไม่ตรงคำถามนะครับ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า)

Q เดียวนี้เริ่มมีสินค้าเลียนแบบมากขึ้น 

A  ขนาดว่ามีสินค้าอื่นๆ มาอยู่ใน SHOP เลยก็มีแล้วยังมีสินค้าเลียนแบบใน Shop ด้วย 

Online ก็มีเวปไซด์ ใช้ชื่อ Kamart มากมายเลย ซึ่งกำลังหาทางแก้ไขอยู่ 

Q เกี่ยวกับ การจัดการ Stock 

A เรื่องการทำ online เราไม่ได้ทำเหมือนที่อื่น อย่างเกาหลี โดยจะมีอาคารนึง ชั้นบนเป็นบริษัท ขายของทางอินเตอร์ และมีที่เก็บของไว้ ชั้นล่างเป็นบริษัท ส่งของ ทำให้การส่งสินค้าไวมากๆ 

แต่kamart จะกระจายสินค้า ส่ิงเอง โดยใช้วิธี Shop ที่ใกล้บ้านเป็นผู้ส่ง และจะรู้หมดว่า Shop มีอะไรบ้าง ถ้ามีคนซื้อของ ก็ไปเช็คว่า ที่ไหนมี ใกล้ที่สุด เพื่อที่จะให้นำสินค้าไปส่ง

Q จะรู้ได้ไงว่า ลูกค้าได้รับแล้ว

A ต้องมีการเช็นรับสินค้า

kamart จะคุม partner  หรือ shop โดยถ้าคนไหนไม่มีสินค้า หรือไม่ทำให้ ก็จะย้ายไปที่อื่นแทน

ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงทำ Software อยู่ โดยจะนำไปลงทุก shop เพื่อที่จะได้รู้ว่ามีอะไรบ้าง

อนาคตจะทำให้ online กับ shop ราคาเท่ากัน ของแถมเหมือนกัน จะได้ช่วยกันขายไปในตัวด้วย

ในระบบก็มีของ ของก็มีในสาขาต่างๆ เลยจะบุก ธุรกิจ Online 

อนาคตจะหา Partner ทำธุรกิจด้วยกัน

อย่างพิขช่า ยังส่งได้ใน 30 นาทีเลย นอกจากนั้นยังเก็บข้อมูลการซื้อขายด้วย

Q เว็บไซด์ เปลี่ยนชื่อ dev ด้วยหลัง

A กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนโดเมน เพื่อเป็น .com

Q ปันหาละเมิดลิขสิทธิ์

A กำลังเพิ่มสินค้า พร้อมจัดการสินค้าละเมิดอยู่ 

Q เดินตามห้าง แล้วเจอที่วางสินค้า kamart แต่ดันไม่มีสินค้าเลย

A พึ่งเริ่มทำงานกับโลตัสไม่นาน นอกจากนี้ การส่งของลงสินค้า เป็นเรื่องของ โลตัสทั้งหมด และจะพยายามไม่ให้ขายหลายอย่างเกินไป เนื่องจากกลัวกระทบ shop

Q เรื่อง 7-11 

A ทุกเดือนก่อนออกหนังสือ friday ก็จะมีการเรียกสินค้าไปสต็อกก่อนหน้าแล้ว พอหมดเดือนก็จะคืนสินค้ามา ซึ่งerror น้อยมาก ประมาณ 2-3% 

Q ware house ใช้ไปแล้วเท่าไหร่ (คลังสินค้า)

A เหลือ 30%  ในกทม ส่วนต่างจังหวัดที่อมตะ ยังมีมากอยู่ ซึ่งมีทั้งแบบ เช่าระยะยาว และระยะสั้น ในอนาคตจะเริ่มลดที่เช่ามาใช้เองมากขึ้น

Q สาขาที่ สิงคโปร เปิดยัง

A เริ่มเปิด shop ในห้างบ้างแล้ว กำลังเริ่มต้นอยู่
ตอนนี้ในพม่าก็เริ่มรู้จัก kamart แล้วมาขอซื้อไปบ้างแล้ว เขมรก็มี เวียดนามก็มี

Q รายได้ปีก่อน 450 ล้าน ปีนี้ หวังเท่าไร 

A อยากได้เยอะๆอยู่แล้ว คาดว่าน่าจะได้ 700-800 ล้าน

Q ระบบ ฝึกพนักงาน-----( ถามเบามาก)

A มี 2 เรื่อง คือเรื่อง สินค้าต่างๆ กับเรื่อง นักขายสินค้า (ฟังไม่รู้เรื่อง + ยังงงพี่ที่ถามเบามากอยู่)

ขออภัย จดไม่ทันจริงๆ

Q ระบบ Shop link มันสำคัญ ไม่ทราบว่าเป็นยังไงบ้าง

A โปรแกรมสำเร็จรูป ตอนนี้ใช้มาแล้ว 50 สาขา และในอนาคตจะง่ายขึ้น (โปรแกรมจะถูกพัฒนาเรื่อยๆ) 

ตอนนี้บริษัทกำลังทำคือ ให้ผู้เชียญชาณ ด้านการขาย มาสอนตัวแทนไปเรื่อยๆ รวมไปถึงตัวแทน Online 

Q q1 น่าจะมีกำไร 200ล้าน โดยมาจากร้านเก่าเท่าไร ร้านใหม่ เท่าไร สมมุติเปิด shopได้ 25 shopต่อไตรมาส

สรุป พี่เขาถามว่า เวลาบรรทึกรายได้ เกิดจากบริษัทขายสินค้าก้อนใหญ่ให้กับ shop ทำให้มีรายได้ก้อนโตเข้ามา พี่เขาเลยกลัวว่า รายได้ที่เกิดขึ้น มาจากการขายให้ shop ไม่ใช่การขายให้กับ ผู้บริโภคโดยตรง

A ประมาณ 500,000 บาทต่อ shop 

Q ของมันเยอะมาก คิดว่าตัวที่ขายดีจะมีน้อยกว่าตัวที่ขายไม่ดี กลัวจะหมุนเวียนไม่ทัน

A มีการจัดการสินค้าทุกวัน โดยปกติ จะเป็นกฎ 20-80 (ลองหาอ่านดู) และจะมีเจ้าหน้าที่จัดโปรโมชั้น เพื่อที่จะล้างสต็อคในส่วนของ 80% ด้วย ตัวไหนไม่ดี ก็ไม่ขายอีก 

ตอนนี้กำลังเพิ่ม เครื่องประดับผู้หญิง รวมไปถึงเคสมือถือด้วย

เคสมือถือหรอ เอาจริงอ่ะ

Q ปกติ shop มีสินค้าเท่าไร

A ประมาณ 100-200 ขึ้นอยู่กับขนาด พื้นที่

ตอนนี้ shop แต่ละที่ kamart ไม่ใช่เจ้าของ แต่ล่ะที่เลยไม่เหมือนกัน โดย kamart อาจเข้าไปช่วยเหลือบางครั้ง 

Q อยากให้มีการโฆษณา kamart shop บ้าง

A อยากโฆษณา สินค้ามากกว่า ส่วนkamart เป็นเพียงชื่อร้าน ไม่อยากเน้นมาก 

ตอนนี้ก็มีในไทยรัฐบ้าง แล้วBts ก็จะมี shop เปิด เหมือนเป็นการโฆษณาไปในตัวด้วย

Q เรื่องสินค้า ตกลง kamart จะเป็นยังไง เน้นสินค้าแนวไหน

A สินค้าที่ขายใน kamart จะเน้น เป็นของ kamart ไม่ก็เป็นตัวแทนนำเข้า เน้นกำไรเยอะๆ เป็นหลัก เน้นว่าที่อื่นไม่มีขาย เรามีที่เดียว 

ส่วนที่จะขายสินค้า เช่น กาแฟลดความอ้วน ช็อคโกแลค คอลโลเจน ก็เพื่อเรียกลูกค้าเพิ่มด้วย

พยายามเอา shop เป็นศูนย์กลาง อย่างสินค้าที่เคยขายแล้วไม่คุ้ม เช่น ทิชชู่ ก็ยกเลิกไปแล้ว

Q ปีนี้ 100 สาขา ปีหน้าล่ะ แล้วก็โฆษณาทาง TV ไม่เห้นเลย

A การทำ TV  ส่วนใหญ่แล้วไม่คุ้ม เปลืองมากๆ ถ้าจะลง TV ก็คงอีกนานหน่อย รอให้เป็น mass ก่อน อย่างพวก ที่โฆษณานั้น เขาขายได้เป็นพันๆล้าน ทางkamart เองก็พยายามทำแบรนเป็นของตัวเองอยู่เหมือนกัน

Social network ก็มี www fackbook youtubeรีวีวต่างๆ นอกจากนั้นก็มีเรื่อง 2PM แล้วในอนาคต อาจมีศิลปินเกาหลีมากอีก 

-------- จบการประชุมนะครับ -----------

ส่วนตัวนะครับ ค่อนข้างมอง ผบ แง่ลบนิดหน่อย เนื่องจาก ไม่ยอมให้ใครมาตัด ไม่ค่อยฟังใคร ตอบทีตรงคำถามมากนัก พูดจาค่อนข้างรุนแรงไปหน่อยนะครับ แล้วก็เรื่องความเชื่อมั่นในตัวเองที่สูงมากด้วยนะครับ ยังไงก็ดูกันต่อไปนะครับ สำหรับบริษัทนี้  

Tuesday, April 24, 2012

ประชุมผู้ถือหุ้น Jubile


วันนี้มีโอกาสไปประชุม ผู้ถือหุ้น Jubile มาครับ ที่โรงแรมริมแม่น้ำ


เดินเข้าไปด้วยมาด องค์ชายพันล้าน กระเป๋าไม่มีเงิน 55 อย่าคิดว่าคนเล่นหุ้น จะรวยทุกคนนะ

เมื่อลงทะเบียนแล้ว ก็ได้พบกับความอร่อย ที่ไม่ค่อยเหลือ (แต่ก็มีเติมเรื่ิอยๆนะ)



แล้วก็เอาหนังสือมาอ่านก่อนประชุม เดียวไม่รู้เรื่อง ถามคำถามโง่อีก อิอิ 


ไดเอรี่ อีกเล่มนึง แม่ยึดไปล่ะ


เมื่อถึงเวลา (โชคดีที่อ่านจบทัน) คณะกรรมการก็มากันพร้อมหน้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มกันทุกคน 


ไม่คนไม่พอใจด้วย ใครเอ๋ย



เริ่มการประชุมเลยนะครับ

วาระที่ 1 รับรองรายงานการประชุม 54

วาระที่ 2 รับทราบผลการดำเนินการ 54
ก็พูดคร่าวๆ ผลการดำเนินการที่เปลี่ยนต่างตั้งแต่

- ตั้งแต่รูปแบบธุรกิจ ที่เป็นแบบค้าปลีก เครื่องประดับ (ทำเองขายเอง) โดยการเน้นคุณภาพ มาตรฐาน ดีไซน์ เป็นหลัก มีกลุ่มลูกค้า ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย วัยทำงาน อื่นๆ

- การผลิต เป็นแบบ ออกแบบและลองผลิตตัวอย่างออกมาดู ก่อนส่งไปให้โรงงานผลิต (10โรงงาน) แล้วส่งกลับมาตรวจสอบก่อนที่จะขายอีกครั้ง โดยเพชรทั้งหมดมาจาก เบลเยียม (ที่ๆเพชรคุณภาพดีสุด)

รายได้ปีที่แล้วเพิ่ม 28.8% โดยมาจาก Jewelry เป็นหลัก ขายในกทม 52.6% ในต่างจังหวัด 42.44%

การขายมีทั้ง Diamond Store , Counter , ลิ่นซิ่ง (พวกธุรกิจ ซื้อเงินผ่อน กับ KTB)

ตั้งเป้าหมายในปี 55 จะมี 95 สาขา (+16สาขา)

มีการปรับปรุงร้านเก่าๆด้วย หลายสาขา เช่นทีสะพานเหล็ก ที่เป็นร้านแรกของบริษัทเลย

ได้รับรางวัล คุณภาพ ความคิดริ่เริม แบรด์ ด้วยล่ะ

แล้วก็มีคนถามล่ะ
Q สัดส่วนการขายผ่านห้าง มันเยอะมากเลย shopน้อย

A ในส่วนของการขายผ่านหัาง หรือ เคาเตอร์ มี 60 สาขา ส่วน shop มีเพียง 20สาขาเท่านั้น นอกจากนั้น การขายผ่านเคาเตอร์ มีกำไรขั้นต้นที่สูงกว่า 
(คิดว่าการเปิดร้าน shop ต้นทุนทั้ง จม และ ตาม สูงกว่า เคาเตอร์แน่นอน)

Q การขายส่งผ่านผู้ทำสัญญา ทำไมน้อยลง และกรุงไทยลิลซิ่ง ก็ลดลง ทั้งที่ช่วงแรกโตมาก แล้วที่สะพานเหล็ก คิดว่าการทำร้านใหม่ จะก่อให้เกิดรายได้เพิ่มเท่าไร และแนะนำให้ในหนังสือ เพิ่มจำนวนร้านค้า ในกทม กับ ตจว เพื่อเทียบรายได้ด้วย

A ผู้ประกอบธุรกิจรวม แฟรนไซส มีสาขาลดลง เนื่องจากย้ายกลับมาเป็นของบริษัท (ซื้อคืนมั้ง) และในปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีการปรับปรุงเลย แต่ในปีนี้จะมีการปรับปรุง แน่นอน


กรุงไทยลิลซิ่ง การขายผ่านธนาคารมีการเปลี่ยนแปลงมาก ทำให้การซื้อขายยากขึ้น จนสินค้าทุกชนิดที่วางขาย ขายได้น้อยลง แต่ในไตรมาส 4 ก็ได้เปลี่ยนวิธีการซื้ออีกรอบ เพื่อทำให้ง่ายขึ้น และมั้นใจ ปีนี้โต 80% 
(ปีที่แล้วลดมาก และก็มีรายได้จากส่วนนี้ต่ำมากๆ)


สะพานเหล็กเปิดมาแล้ว ไม่กี่เดือน แต่ถ้าเทียบปีที่แล้ว +20% เชื่อว่าการปรับปรุงร้านจะทำให้ได้ลูกค้าใหม่ ส่วนลูกค้าเก่าก็จะไม่อยากไปร้านอืน

Q มีแผนที่จะทำการขายผ่าน อินเตอร์เน็ตไม แผนในอนาคตเป็นอย่างไร

A มีการเตรียมการในส่วนนี้ และมีการศึกษาผู้บริโภคแล้วด้วย
แต่พฤติกรรมของการซื้อของผ่านเน็ต มักจะเป็นการศึกษาสินค้ามากกว่า เพราะมีราคาแพงมาก และเมื่อจะตัดสินใจซื้อ ก็มักจะมาดูสินค้าของจริงมากกว่า แต่ยังไรก็ตาม ก็ยังอยู่ในแผนการนี่ล่ะ (สำหรับสินค้าราคาถูก มักจะตัดสินใจได้ง่ายมากกว่า) 


ในอนาคตจะไปต่างประเทศด้วย ทั้งจากการเปิดเสรี และการไปประเทศอื่นๆ ซึ่งเราเชื่อมั่นในคุณภาพมาก

Q มีข้อผิดพลาดหน้า 22 (พ่อผมถาม อิอิ)

A จริง (เรื่องตัวเลขนิดหน่อย)

วาระที่ 3 อนุมัติงบการเงิน


Q อัตราส่วนกำไร ยอดขายโตขึ้น แต่กำไรขั้นต้นทำไมลดลง (พี่เขาเข้าใจผิดเรื่องกำไรขั้นต้นที่เป็น %)

A เป้าหมายที่วางไว้แต่แรก คือ กำไรขั้นต้น 40-42% อยู่แล้ว รายได่รวมก็ได้เกินเป้าหมาย และก็ยังรักษาระดับกำไรขั้นต้นได้ ทำให้กำไรเพิ่มขึ้นอีก 

Q ราคาต้นทุนสินค้าที่บรรทึกไว้ในบัญชี เป็นราคาตลาด หรือราคาทุน

A ราคาทุน (ดี เพราะการบรรทึกแบบนี้แสดงว่าไม่สนใจ สินค้าโภคภัทณ์เลย)

วาระที่ 4 อนุมัติเงินกำไร เงินทุนสำหรับตามกฎหมาย

วาระที่ 5 พิจารณา ปันผล 70%

Q XD วันไหน 

A 30 เมษา

คือในที่แสดงมันเขียนว่า อนุมัติ วันที่ 3 พฤษ (มั้ง) ทำให้คนงงว่า ตกลงปันผลวันไหนกันแน่

วาระที่ 6 อนุมัติ กรรมการ ผลตอบแทน

เห็นว่า ประธานได้ค่าประชุม เพียง 50,000 บาท ลองมาก็ได้เพียง 18,000 บาท ค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับบริษัทใหญ่ๆ ที่ได้ทีเป็นแสนๆ เกือบล้าน

วาระที่ 7 อนุมัติ ผู้สอบบัญชี

วาระที่ 8 อื่นๆ

Q เสมอคูปอง ส่วนลดให้ผู้ถือหุ้น (เย้ๆ เห็นด้วย)

A ยินดีครับ จะรับไว้พิจารณา คิดว่าปีหน้า น่าจะได้แน่นอน ในฐานะผู้ถือหุ้นเหมือนกัน

Q ราคาเพรช ขึ้น ลง เหมือน ราคาทองคำ ไม แล้วบัญชีจะปรับตามไม


A ราคาเพรช ไม่เหมือนราคาทองคำ โดยที่ผ่านมา ราคาเพชรค่อนข้างจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ค่อยลงนัก นอกจากเกิดวิกฤตรุนแรงจริงๆ 

Q มีโอกาศที่ทำให้ เพชรปรับตัวลง จนขาดทุนหรือไม่ 

A จากที่ผ่านมา ราคาเพชรไม่เคยลดลงอย่างมีนัยยะ ไม่คิดว่าจะมีการปรับตัวลดลงมาก เนื่องจาก supply ก็เท่าเดิม แต่คนต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ

Q 5ปี 10ปี มองเห็นยังไงในอนาคต เพิ่มปีละ กี่สาขา เน้นแบบไหน สาขา shop หรือ เคาร์เตอร์ การออก

A จะไปทำในต่างประเทศด้วย นอกจากนั้นในไทยก็มีห้างใหม่ๆที่เยอะมากขึ้นในทุกจังหวัด ก็จะเข้าไปทำ มีทั้ง shop และ stand alone 


โดยจะพิจารณา เป้าหมาย กำลังการซื้อ ของคนบริเวณนั้นๆ


เป้าหมายคือ ร้านเพชรอันดับ 1 ของคนไทย ไปนานาชาติ

Q การขยายสาขา อาจต้องมีสินค้ามากพอสมควร (ดูจากสินค้าคงเหลือ) กลัวจะเกิดปันหาด้านการเงิน จะทำให้ ปันผลลด และกลัวเพิ่มทุน

A สินค้าคงเหลือในปีที่แล้ว ปรับเปลี่ยนเคาร์เตอร์ให้มีพื้นที่วางโชว์เพิ่ม สินค้าเลยเยอะขึ้น เป้าหมายก็เยอะตาม แต่ถ้ามีความต้องการเงิน ก็ต้องคิดอีกที แต่ปัจจุบัน สบายมาก อย่างเวลาในการชำระหนี้ก็ค่อนข้างนาน 3 เดือน 

ข้อเสนอแนะ อยากให้เน้นลูกค้าต่างชาติบ้าง และเห็นว่า shop ที่แสดงถึงแบรดสินค้า 

ข้อเสนอแนะ ขยายกิจการ เพิ่มรายได้ กำไร อยากให้การเพิ่มทุนเป็นทางเลือกสุดท้าย จะให้ปันผลเป็นหุ้นก็ได้

Q มีร้านค้าอื่นๆ มากมาย มีส่วนลด มีใบประกัน Jubilee มีจุดแข็งอย่างไร 

A มีการสำรวจคู่แข่งตลอดเวลา ปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้น 


ส่วนใหญ่ ร้านใหม่ๆ แต่ก็กลยุทธเดิมๆ คือ ลด แลก แจก แถม เลยไม่สนใจเท่าไร (ไม่คิดแข่งในเรื่องราคา)


เน้นเรื่องคุณภาพเป็นที่สุด แล้วจะทำให้มีลูกค้าเสมอ และการที่มีสาาคลุมทั้งประเทศ ทำให้ลูกค้าสามารถรับบริการได้เต็มที่เลย ทุกสาขา

Q บุคลากร ชำนาญลาออก ทำยังไง การโจรกรรม ทุจริต แก้ไขยังไง

A เรื่องความสามารถจะไม่มีใครคนใดคนหนึ่ง เพราะมีการเวียนงานกันทำ เพื่อให้คนคนนึงแทนที่ได้ แล้วก็มี team ด้วย แต่ไม่ค่อยมีคนเข้าออกเท่าไหร่ เพราะทางบริษัท มีนโยบายเอาใจพนักงานด้วย


ส่วนเรื่องทุจริต ถ้าเจอจะทำการแก้ไขทันที


ข้อเสนอแนะ ให้มีการโฆษณา ผ่านมือถือ app TV Internet

Q สอบถาม เรื่องคอนเล็กชั่น "The Excellence" ไม่ทราบว่าได้ยอดขายเท่าไหร โดยส่วนตัวผู้ถามรู้สึกประทับใจมาก แล้วตั้งเป้าหมายปีนี้เท่าไร

A เป้าหมายรายได้รวม 1000 ล้านบาท และ  "The Excellence" เป็น 10% ขอรายได้ 

Q  "The Excellence" ตัวใหม่ ดีขึ้น แพงขึ้น เป็นอย่างไรบ้าง

A มูลค่าต่อชิ้นเพิ่มขึ้น และผลิตไม่ทัน ทำให้แต่ละสาขาแย่งกัน เพราะวัตถุดิบเป็นเพชรที่หายาก

Q ปีก่อนต้องจอง ทำไมปีนี้ได้เลยอ่า สินค้าเหลือเยอะหรอ

A อยากให้ลูกค้าได้รับสินค้าทั้งที่ จะได้รู้สึกดี และจะได้ลงรายได้ได้เลย ปีที่แล้วมันผลิตไม่ทันจริงๆ

Q การลงโปรแกรม ELP (เข้าใจว่าเป็นโปรแกรมตรวจเช็คสินค้าว่า อยู่สาขาใดบ้าง มีกี่อัน)

A ตอนนี้ 90% ซึ่งทำให้ประหยัดเวลา เร็ว ขายได้ดีขึ้น 

ข้อเสนอแนะ การกระจายหุ้นให้พนักงานดี ทำให้พนักงานได้รวยไปพร้อมบริษัท แต่อยากให้มีราคาใช้สิทธิ์สูงๆ เพื่อที่จะได้กระตุ้นในพนักงานอยากขาย และแนะนำเรื่อง Employee john Investor Program ด้วย (หมายถึงเอาเงินพนักงานมาซื้อหุ้นบริษัท โดยบริษัทก็จะช่วยออกด้วย คล้ายๆ ประกันสังคม)

Q เห็นว่าจะมีการเปิดโชวรูมที่ สีลม รูปแบบเป็นอย่างไร

A อยู่ในส่วนของการดำเนินงาน เป็นร้านใหญ่เลย โดยจะแจ้งอีกครั้งประมาณ ไตรมาส 3 

Q คิดว่า Store ที่สีลม รายได้เท่าไร อัตรากำไร เป็นอย่างไร


A ประมาณ 10-15% ของรายได้รวม กำไรก็อยู่ราวๆ 40-42% 

Q ค่าแรงงานที่จะขึ้น มีผลอย่างไรบ้าง เรื่องอาเชียด้วย

A ต้นทุนสินค้าเป็นวัตถุดิบไป 75% (เพชร) ทองคำ 20% ค่าแรง 5% น้อยมาก นอกจากนั้นคนงานส่วนใหญ่เป็นช่างฝีมือ ทำให้รายได้เกิน 9000 หมดแล้ว คิดว่าไม่แน่จะมีผลมากนัก


อาเชีย เตรียมรับมือกับการแข่งขันแล้ว ตลอด 20 ปีไม่เคยมีปันหาเลย เน้นแบรนเป็นหลัก และมีโอกาศได้ไปประเทศเพื่อนบ้านด้วย  

จบการประชุมครับ อยากบอกว่า แอร์ หนาวมาก

Sunday, April 22, 2012

บรรทึกช่วยจำ TWFP

TWFP : ไทวาฟู๊ดโปรดักส์

เป็นบริษัทแรกที่ผม เริ่มทำการบ้านเอง เมื่อนานมาแล้ว (ประมาณ ปลายปี 53) ตอนนั้นอยากออกมาลองเล่นดูเอง เดียวความร้อนแรง และความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม (ตอนนั้นตกไปอยู่ตาตุ่มแล้ว)
ก็คราวๆนะครับ เป็นบริษัทผลิตวุ้นเส้น ตรา กิเลสคู่ ที่เป็นสินค้านำบริษัทเลย แล้วก็ผลิตแป้งตรา New Grade 



ก็ตามนั้นล่ะ ลองไปถามแม่ค้าดู ก็ชอบนะ ยิ่งมังกรคู่ ยิ่งดี เพราะไม่อืด ผมเองก็ยังงงเลยเพราะไม่ค่อยได้ทำอาหารจากวุ้นเส้นเท่าไรนักนะ ส่วนพวกแป้งนี่ ผมไม่ได้ศึกษามาก เอาสินค้าชูโรงดีกว่า
เป็นที่น่าเสียดายเล็กน้อย ที่วุ้นเส้นมีตลาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับเส้นอื่นๆ

ในอดีต เคยมีการพยายามทำ วุ้นเส้นกึ่งสำเร็จรูป เหมือนมาม่าน่ะ แต่สุดท้ายก็ต้องถอยออกมา 
ในปัจจุบันมีการพยายามทำเส้นเล็กขายเพิ่ม เพราะว่าตลาดเส้นเล็กค่อนข้างใหญ่กว่าวุ้นเส้นเยอะ ประมาณ 5 เท่าเลยทีเดียว
เรื่องเส้นเล็กนี่ ผมเองก็เห็นเหมือนกัน แต่ไม่ได้ลองเอามาทำอะไร เนื่องจากทำก่วยเตียวไม่อร่อย 
ตอนนี้มีการขยายโรงงานเพิ่ม จาก 1 เป็น 2  คิดว่าน่าจะสร้างเสร็จแล้วนะ 

เคยคุยกับลูกจ้างที่นี่ มีแต่ผู้หญิง อยากเข้าไปทำงานจัง เอ๊ย ไม่ใช่ เขาบอกว่า ไม่ค่อยมีการรับสมัครคนเท่าไร (ถือว่าดี เพราะว่าคนภายในค่อนข้างรักบริษัท) 
ที่ผ่านมา เกิดการเทคโอเวอร์ขึ้น โดนบริษัทแม่ของไทวา ยอมขายไทวาให้กับบริษัทอื่น เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ตัวแม่
สาเหตุที่ทิ้งตัวนี้ คือเห็นหุ้นตัวอื่น มีศักรภาพ โตมากกว่านี้ เลยเปลี่ยนหุ้น ประกอบกับ การซื้อขายที่น้อยมากต่อวัน การที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ แค่ 300หุ้น อาจเป็นแนวต้านใหญ่ได้ทันที 
แอบมองอยู่ ถ้าราคาตกมามากๆ ก็อาจกลับมาสนใจอีกด้วย 

=======================================================

เรื่องของสินค้า การซื้อการขาย ลูกค้า คู่ค้า

1 สินค้าที่ใช้แล้วหมดไป

เข้าตรงๆเลยครับ วุ้นเส้น กินยังไงก็หมด ยกเว้นกินไม่หมด ก็ต้องทิ้งไป อันนี้ผ่านฉลุยครับ

2 สินค้าที่อาจมีการทดแทนได้ง่าย

สำหรับวุ้นเส้น ทำใจเถอะครับ ทุกเส้นทดแทนกันได้หมดเลยครับ ไม่ว่าเส้นใหญ่ เส้นเล็ก บะหรี่ อื่นๆอีกมากมาย

แต่วุ้นเส้นดีอย่าง ทำจากถั่วเขียว ไม่เหมือนเส้นอื่น (อย่างถามว่า ทำยังไงถึงใส ผมก็อยากรู้เหมือนกัน) และเป็นความเชื่อเล็กจากผู้หญิง ที่บอกว่า กินวุ้นเส้นแล้วจะไม่อ้วน 

คิดว่าอนาคตไป คงไม่มีวุ้นเส้นแบบใหม่มานะครับ 

3 สินค้าที่มีแบรน และคนซื่อสัตย์ในแบรนด้วย

แบรนค่อนข้างแข็งพอตัว กินส่วนแบ่งตลาด 40% ได้เลย แถมคนส่วนใหญ่ก็ชอบด้วย เพราะมันไม่อึดนี่ล่ะ อย่างแม่ค้าที่ทำอาหารแกงมาขาย ถ้าไม่ใช่ของ ไทวา วุ้นเส้นเป็นน้ำไปเลยล่ะ ไม่ก็บวมเป๋งเลย

4 คู่ค้า

เหมือนจะมีกระจายมาก เพราะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ใครขายก็ไม่ต่างกัน ดังนั้นค่อนข้างได้เปรียบอยู่ สำหรับการรับซื้อจัดหา


ลูกค้า

ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าส่งมากกว่า (ไม่แน่ใจรวมพวก แม็คโคร บิ๊กซี โลตัสหรือไม่) แล้วก็ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (พวก 7-11) ล่ะ ทำให้กำไรที่ได้น้อยลงนิดหน่อย (ขนาดน้อยยังมีกำไรขั้นต้น เกือบ 20 % เลยนะ

6 คู่แข่ง

ค่อนข้างเยอะ จาก 56-1 ก็มีรายใหญ่ประมาณ 4 ราย(รวมไทวา) และรายย่อยอีก 20 กว่าราย แต่ยังไง ไทวา มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงมากอยู่แล้ว จึงค่อนข้างสบายใจได้ระดับนึง

7 วัตถุดิบ การสินค้าโภคภัณฑ์

ก็จะมีเรื่อง ราคาถั่วเขียว กับแป้งนี่ล่ะ ถึงผมยังไม่เคยได้ยินว่าเกิดขาดตลาดหรือราคาสูงเป็นพิเศษ แต่คิดว่า สักวันต้องมีล่ะ

8 โอกาสการเติบโตของสินค้า บริการ

ค่อนข้างยาก ท้้งจากการที่ตลดวุ้นเส้น ค่อนข้างอิ่มตัวมาก และโตตามประชากรเท่านั้น และการที่เป็นเจ้าตลาดเลยทำให้แย่งส่วนแบ่งทางตลาดได้ยากด้วย

ส่วนที่เป็นไปได้ ก็คือเรื่องส่งไปต่างประเทศ แต่ก็คงต้องสู้กับจีนล่ะ

หรือไม่ก็พยายามเส้นเล็กให้ติดตลาดให้ได้ (เส้นอื่นๆด้วย)


งบการเงิน

1 สินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของผู้ถือหุ้น

หนี้น้อยมากๆ ยังไงปลอดภัยแน่นอนครับ
ส่วนของอาคาร ที่ดิน ก็ลงทุนไม่มาก แต่มีเรื่องเงินลงทุนในบริษัทร่วมนี่ล่ะ ที่เยอะหน่อย 
กำไรสะสมบานเบอะ

2 รายได้ กำไร ROA ROE อัตรากำไรสุทธิ

ROE ROA สูงตลอด (เกิน20%) เข้าสู่หุ้นที่ดีเลยทีเดียว
อัตรากำไรสุทธิ ค่อนข้างแข็ง เพราะไม่ต้องลดราคาสู้สินค้าเลย 

3 รายได้ และ รายจ่าย

รายได้ 
มาจากการผลิตขาย ล้วนๆ ไม่มีพิเศษ

รายจ่าย
ต้นทุน 63% ได้ ไม่สูงมาก
ค่าบริหาร 6% สำหรับบริษัทไม่ใหญ่มาก ถือว่าน้อยมากเลย 

กำไร โดนภาษีเต็มๆ ไม่มีต้นทุนทางการเงินเลย สบาย

เรื่อง ผบ

1 บริษัทที่พึ่งเจ้าของมากเกินไป

เท่าที่เห็น ผบ ไม่ค่อยพูดเท่าไร คิดว่า บริษัท ไม่มี ผบ ก็สามารถอยู่ได้เรื่อยๆนะ สบายๆ

2 บริษัทที่ทำหลายอย่างเกินไป ออกนอกความถนัดเกินไป ชอบทำตามคนอื่น ขยายตัวรุนแรง

เคยไปทำ วุ้นเส้นกึ่งสำเร็จรูป แต่แล้วก็ถอนตัว ก็ถือว่าดี ยอมแพ้ เหมือนไม่เห็นทางชนะ 
ตอนนี้พยายามทำเส้นเล็กอยู่ ก็พอถูไถได้ 

สำหรับตัวนี้ ถ้าราคาถูกกว่านี้ จะดีมาก เนื่องจากต้องคิดว่าไม่โตเท่าไร PE ที่ได้เลยต้องต่ำจริงๆ แล้วก็หาข่าวยากพอตัวเลยล่ะ ซื้อขายยากพอๆกันเลย

Saturday, April 21, 2012

แอบดู TOG


เห็นมีข่าว แล้วใน stock2morrow มีคนถาม แล้วมีคนถามผมด้วย ว่ามีความคิดเห็นยังไง (บังเอิญช่วงใกล้ๆกันพอดี)

ผมว่านะ หุ้นที่มีข่าวแล้วบอกว่าดี ส่วนใหญ่แล้วมักถึงจุดสูงสุดของมันแล้ว ที่มันมีข่าว ก็เพื่อว่าจะได้ให้รายย่อยเข้าซื้อ แค่นั้นเอง นานๆทีจะมีซักตัวที่ขึ้นไปต่อ ต้องระวังมากกว่า

นอกจากนี้ การดู downside ก่อนดู upside น่าจะดีกว่า (อย่างน้อยก็ผมคนนึงล่ะ)

เรื่องข่าว เห็นอยู่ 2 เรื่องนะ 

เรื่องแรก เรื่องการผลิต เลนต์กันกระแทก 

เห็นว่าเป็นบริษัทเดียวในโลก ที่ทำเลนต์นี้ได้ ผมเองก็ไม่รู้รายละเอียดนะ แต่ว่าพวกนี้ค่อนข้างจะเลียนแบบได้ง่าย หรือเปล่า อันนี้ต้องดูกันต่อไป 

เรื่องที่สอง ก็เป็นเรื่องการ turn around ของ TOG

เรื่องนี้ผมเห็นว่า "คิดได้ไง" เพราะว่า ปีที่ผ่านมา น้ำท่วม บริษัทไหนน้องน้ำมาหา ก็มีอันเป็นไปหมดล่ะ ถึงน้ำไม่เข้าโรงงาน ก็ขายของไม่ได้ล่ะ รายได้ก็ไม่มี มีแต่รายจ่าย ยังไงก็ขาดทุน ไม่ก็เท่าทุน
ปีนี้ถ้าไม่มีอะไร รายได้ ก็ควรจะเข้าสู่ปกติ กำไรก็เข้าสู่ภาวะปกติ
แต่  เมื่อเทียบกำไรกับปีที่น้ำท่วม ยังไงก็ขึ้นมหาศาลล่ะ ไม่ต้องลุ้นเลย

มาดูหุ้น ด้วยวิธีผมกันดีกว่า อิอิ

==========================================================

เรื่องของสินค้า 

1 สินค้าที่ใช้แล้วหมดไป

สำหรับสินค้าอย่างเลนต์นี้ ผมก็ไม่นึกนะ ว่ามันมีอายุด้วย เห็นว่าอายุประมาณ 3 ปีเอง ว่าไปเถอะถ้าผมใช้จริง แตกตั้งแต่ปีแรกแล้วล่ะ

จากที่อ่านใน 56-1 เลนต์นี่ จะเปลี่ยนทุกๆ 3 ปี แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ ไม่พัง ไม่แตก ก็ไม่ซื้อใหม่หรอกครับ

2 สินค้าที่อาจมีการทดแทนได้ง่าย

แว่นก็คือแว่น การแข่งขันเท่าที่อ่านดู ก็ค่อนข้างรุนแรงมากนะ เพราะ ทำไม่ยากมากนัก (เอากระจก หรือ พลาสติก มาหลวมเป็นเลนต์) ถึงจะบอกว่าทำเลนต์แบบใหม่ แต่ผมไม่ค่อยเชื่อว่าจะเป็นบริษัทเดียวที่ทำเลนต์พิเศษได้ตลอดเวลานะครับ อาจมองโลกแง่ร้าย แต่ชัวร์ไว้ก่อนดีกว่า

คอนแทคเลนต์ สินค้าที่เกือบทดแทนแว่นได้เลยช่วงนึง เพราะ บางคนไม่ชอบแว่น ใส่แว่นแล้วหน้าตาเปลี่ยนไป บางคนใช้เป็นเครื่องตบแต่งด้วยซ้ำ อย่าง บิ๊กอาย ที่ใส่แล้วทำให้ตาดำดูใหญ่ขึ้น หรือแบบสีต่างๆ ที่ทำให้สวยขึ้น(จริงหรือ) นอกจากนั้นยังมีพวกบ้าการ์ตูน เอามาใส่เลียนแบบอีก (ผมก็เคยเกือบซื้อมาใส่เหมือนกัน 555)

ราคาค่อนข้างถูกต่อเลนต์ในแต่ละคู่ด้วย (ที่จริงแพงนะครับ ถ้ามองดีๆ มันจ่ายเป็นรายวัน รายเดือน ขูดเงินในกระเป่าได้โดยไม่รู้ตัวเลยล่ะ นอกจากนั้น ถ้าใช้ผิด ใช้ของปลอม ตาบอดไป นับมูลค่าความสูญเสียไม่ได้เลยนะครับ)

เลซิก อันนี้เขียนไม่ถูก เป็นบริการที่ทดแทนสินค้า เลนต์ นะครับ เห็นพี่ผมไปทำมา จากคนสายตาสั้นมาก ทำออกมา สายตาเป็นปกติเลยครับ ดีกว่าผมอีกมั้ง แต่ราคาก็ค่อนข้างจะสูงนะครับ

เลนต์ คุณภาพต่ำ จากจีน (อีกแล้ว) ก็เข้ามาตีตลาดด้วย ทำให้คนที่มีงบน้อย ก็หันไปหาเลนต์จากจีนกัน เพราะ ราคาที่ต่างกันมากๆ เป็น 100 เท่าเลยมั้ง

3 สินค้าที่มีแบรน และคนซื่อสัตย์ในแบรนด้วย

ไม่เห็นแบรด์ชัดๆนะครับ เหมือนแค่รับทำเลนต์เฉยๆ ไม่ได้ทำอย่างอื่นด้วยเลย 

4 คู่ค้า

อ่านใน 56-1 นะครับ เห็นว่ามีผู้ผลิต และจำหน่าย ไม่กี่หลายเองนะครับ ยิ่ง monomer พลาสติก ยิ่งมีรายเดียว ถ้าจู่ๆ เขาขึ้นราคา หรือยกเลิกการส่งให้ก็อ่วมนะครับ

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดี เพราะทำมานานมากแล้ว ก็ไม่ค่อยมีปันหามากนักซักเท่าไร (ตาม 56-1) 

ลูกค้า


ส่วนใหญ่ (ทั้งหมดเลยดีกว่า 95%) เป็นต่างประเทศ ดังนั้น การขึ้นลงของค่าเงิน มีผลโดยตรงแน่นอนครับ แถมส่งไปทาง ยุโรป ซะเยอะเลย

แต่ก็ยังดี ที่ลูกค้าส่วนใหญ่ เป็นรายย่อย (ร้านแว่น) มากกว่า ไม่มีเจ้าไหนที่มาสั่งทำทีมากๆนัก


6 คู่แข่ง

ในประเทศ ก็มีคู่แข่งมากมาย แต่ผมไม่รู้ว่าคู่แข่งเป็นอย่างไรบ้างนะ แต่เลนต์พวกนี้ ต้องเอาราคาเข้าสู้ บริษัทไหนต้นทุนต่ำ ก็ได้เปรียบไป แต่ผมว่าแข่งแบบนี้ไป สุดท้ายคงไม่ต่างจาก ธุรกิจ ทอผ้า หรือที่เรียกว่า ตะวันตกดิน ยิ่งเจอจีนมาเป็นคู่แข่งด้วย 


7 วัตถุดิบ การสินค้าโภคภัณฑ์

พลาสติก กระจก ที่จริงเป็นสินค้าโภคภัณฑ์นะ เพราะอันไหนก็ไม่น่าต่างกันเท่าไรนัก แต่ราคากระจกคงไม่ผันผวนมาก แต่พลาสติกไม่แน่ อย่าลืม PTL AJ พวกนี้นะ ติดดอยไปหลายคนเลย

8 โอกาสการเติบโตของสินค้า บริการ

มองแล้วค่อนข้างเหนื่อยนะครับ เพราะต้องเป็นคนที่ ต้องการใส่แว่น จริงๆ และต้องเป็นแว่นที่ดีด้วย

คนไม่ต้องการใส่แว่น ก็มีคอนเทคเลนต์ กับ เลซิก เป็นตัวเลือก 
คนที่ต้องการแว่น อาจเลือกแว่นราคาถูกจากจีน ก็เป็นไปได้อีก

นอกจากนั้น สินค้าพวกนี้ เก็บได้ น่าจะนานอยู่ ค่อนข้างยากที่จะประเมินว่า ตลาด ขาด หรือเกิน แต่คิดว่าส่วนใหญ่เกินนะ

ความหวังคงเป็น แฟชั่น สาวแว่น ประมาณนั้นมากกว่า เมื่อดาราทุกวงการ หันมาใส่แว่น แบบนั้นนะ


เรื่องของตัวบริษัท งบการเงิน

1 สินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของผู้ถือหุ้น
หนี้น้อยดีแต่หนี้หมุนเวียนซะเยอะ แต่ก็ถึอว่าน้อยมาก หากเทียบกับสินทรัพย์ 
สินทรัพย์ ไปหนักทาง ที่ดินอาคารอุปกรณ์ ซะเยอะเลย ไม่ค่อยชอบเลย 
สินค้าคงเหลือ ก็ค่อนข้างเยอะมาก สำหรับโรงงานที่ผลิตสินค้าส่งไปให้บริษัทอื่นนะครับ
กำไรสะสมไม่เยอะมากนัก

2 รายได้ กำไร ROA ROE อัตรากำไรสุทธิ

รายได้เมื่อเทียบสินทรัพย์ ไม่ค่อยดีเลย 
แต่อัตรากำไรสุทธิ ค่อนข้างดี และสูงพอตัว เกือบ 10 % เลย
แต่ ROA ROE ต่ำกว่า 10 ในระยะยาว อาจทำลายความมั่นคั่งได้เลยนะ 
และ ความหวังที่กำไรจะโตขึ้น ดูท่าจะลางเลื่อนนะครับ ถ้าใครได้ราคาต่ำจริง ก็ดีไปนะครับ ตัวนี้ หวังแค่ปันผล ก่อนจะดีกว่า

3 รายได้ และ รายจ่าย (ผมเอาของปีก่อนนะครับ ปีนี้ผิดปกตินะครับ)

ปีนี้จะมีรายได้จากการเคลมน้ำท่วมมานะครับ ระวังรายได้ปีหน้าจะสูงผิดปกติด้วย
สำหรับปีก่อน รายได้ทั้งหมดมาจากการผลิตขาย ถือว่าดี ไม่มีรายได้อื่นมาเบี่ยงเบน

รายจ่าย ต้นทุนการขาย 72% ถือว่าดี
แต่ต้นทุนการบริหาร 10% ก็เยอะอยู่ 

รายจ่ายทั้งหมดเป็น 86% ของรายได้ ก็พอใช้ได้อยู่

เรื่อง ผบ

1 บริษัทที่พึ่งเจ้าของมากเกินไป

อันนี้ไม่รู้นะครับ แต่ปีที่แล้วเห็นว่าผบพูดซะไปไกล น้ำท่วมทีเดียว ดับเลย 

2 บริษัทที่ทำหลายอย่างเกินไป ออกนอกความถนัดเกินไป ชอบทำตามคนอื่น ขยายตัวรุนแรง

อันนี้ทำอย่างเดียวเลย ที่จริงถ้าผลิตเอง เอาไปขายเอง สร้างแบนด์ เองคงจะได้กำไร และรายได้ดีกว่านี้ล่ะ