ประเภทหุ้น
1. หุ้นโตช้า (Slow growers) การเติบโตของกำไรจะสูงกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเล็กน้อย ประมาณ 2-4% ต่อปี ให้ซื้อที่ PE ต่ำและหวังปันผลเป็นหลัก
2. หุ้นแข็งแกร่ง (Stalwarts) บริษัทที่แข็งแกร่งมีอัตราการเติบโตประมาณ 10 - 20% ต่อปี เหมาะที่จะถือระยะยาว
3. หุ้นโตเร็ว (Fast growers) บริษัทขนาดเล็กขนาดกลางที่มีอัตราการเติบโตที่สูงมากประมาณ 20 -25% ต่อปี เป็นหุ้นที่เหมาะจะถือในระยะยาว
4. ประเภทขึ้นลงตามวัฎจักร (Cyclicals) บริษัทที่กำไรขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ
5. ประเภทเริ่มฟื้นตัว (Turnarounds) บริษัทที่ประสบปัญหา แต่มีสัญญาณแห่งการฟื้นตัวที่ชัดเจน
6. ประเภทสินทรัพย์แฝง (Asset plays) บริษัทที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าของสินทรัพย์ หรือมูลค่าตามบัญชีที่เราทราบแต่อีกหลายคนในตลาดยังไม่ทราบ เช่น ที่ดินที่มีอยู่อาจมีมูลค่าตลาดสูงมาก แต่บันทึกบัญชีเป็นราคาทุน หรือในบริษัทประกันภัยที่ตั้งสำรองเงินประกันสูงๆ
เรื่องของสินค้า การซื้อการขาย ลูกค้า คู่ค้า
1 สินค้าที่ใช้แล้วหมดไป
อย่างพวกสินค้าที่เป็นหิน ปูน เหล็ก ผ้า พลาสติก(ไม่รวมพวกถุง ขวดหรืออุปกรณ์ใช้แล้วทิ้ง) อุปกรณ์อิเล็กโทรนิค เฟอร์นิเจอร์ บ้าน คอนโด รถยนต์ ยางพารา สินค้าพวกนี้เหนื่อย กว่าลูกค้าจะกลับมาซื้อใหม่ใช้ใหม่ เหงือกแห้ง
แต่ถ้าเป็นพวก อาหาร น้ำมัน ถ่านหิน พวกนี้ก็ใช้ทีเดียวก็หมดแล้ว หรือพวกบริการบางชนิด เช่น การใช้เช่าสินค้า หรือพื้นที่ การให้บริการโทรศัพท์ พวกนี้
2 สินค้าทดแทน
อย่าง สินค้าโภคภัณฑ์ ถ่าน น้ำมัน อาหารสด อาหารสัตย์ บริการต่างๆ พวกนี้จะมีการทดแทนได้ง่าย ถ้าไม่มีแบรนจนทำให้คู่แข็งเข้ามาไม่ได้ ก็แย่แน่นอน อย่างกรณีนี้ ควรเลือกบริษัทที่ใหญ่ เนื่องจากขนาดใหญ่จะช่วยทำให้ต้นทุนประหยัดกว่ามาก
ธุรกิจที่รับจ้างทำสินค้า ก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร แม้ว่าขนาดจะใหญ่ก็ตาม แต่ถ้าที่ต่างประเทศราคาถูกกว่า หรือเงินบาทแข็ง ก็จบ เช่น ธุรกิจทำผ้า ทำชิ้นส่วนต่างๆ ที่รับงานจากบริษัทต่างชาติมาอีกทีนึง สักวันนึงเขาก็ต้องย้ายฐานการผลิตไปประเทศที่ค่าแรงถูกกว่าอยู่ดี
ธุรกิจที่มีสิทธิ์โดนสินค้าอื่นมาทดแทนเลย ก็ต้องระวัง เช่นกล้องฟิล ที่ถูกทดแทนจากกล้องดิจิตอล ยังไงก็กู่ไม่กลับแล้วล่ะ
นอกจากนั้น สินค้าโภคภัณฑ์ ก็ต้องระวังอีกจุดนึงคือ การซื้อที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงมากๆ เพราะบริษัทมันได้กำไรจากส่วนต่างของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งไม่ควรนับเป็นกำไรจริงๆ เพราะไม่ใช่ความสามารถของบริษัทเลย
3 สินค้าที่มีแบรน และคนซื่อสัตย์ในแบรนด้วย
อย่างที่มีแบรนแข็งๆ ก็มี CPALL ที่ทำให้คู่แข่งเปิดร้านแข่งแทบเจ็งเลย อย่าง CPN ที่เปิดที่ไหน คนก็แห่ตามไปกันหมด ไม่เหมือนห้างnoname เปิดไปก็มักจะเจ็ง หรือ CPF PTT ที่ทำต้ังแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ก็ทำให้ต้นทุนต่ำมาก (กรณี PTT มักจะมีปัญหาทางการเมืองบ่อยระวังด้วย)
4 อำนาจในการต่อรองจากซัพพลายเออร์
คู่ค้า หมายถึง คนที่เราซื้อของและบริการ จากเขามา (คิดเองนะ)
ควรมีหลายๆเจ้า อย่างน้อยๆ ก็มีสัก 5เจ้าขึ้นไป อย่าให้มีเจ้าไหนมากกว่า 20% เพราะอาจโดนคุมราคาได้
ถ้ามีมากๆ ยิ่งดี เพราะนอกจากความเสี่ยงที่จะสูญเสียลูกค้า ยังมีความสามารถในการควบคุมราคาได้อีกด้วย
ต้องระวังด้วย อย่าพวกรับผลิตชิ้นส่วน หรือ ผ้า พวกนี้เหมือนจะรับได้หลายบริษัท แต่ถ้าค่าแรงขึ้น เงินบาทแข็ง ก็อาจพร้อมใจกับยกเลิกก็ได้
หรือมีลูกค้า คู่ค้าในต่างประเทศ แต่ถ้าลูกค้าคู่ค้า อยู่ในประเทศเดียวกันหมด อาจเกิดปันหาได้ (เช่นประเทศนั้นกำลังเกิดภัยวิบัติ)
5 อำนาจการต่อรองจากลูกค้า
ลูกค้า หมายถึง คนที่ซื้อของและบริการ จากเราไป (คิดเองนะ)
เหมือน คู่ค้า
6 การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม
บริษัทอื่นที่ทำสินค้า บริการเหมือนกัน ลองเทียบบัญชีต่างๆดู เทียบสินค้า เทียบความนิยมดู
7 การเข้ามาแข่งขันของผู้เล่นรายใหม่
7 การเข้ามาแข่งขันของผู้เล่นรายใหม่
8 วัตถุดิบ การสินค้าโภคภัณฑ์
บรรทึกไว้ เนื่องจากสินค้า โภคภัณฑ์ มีความผั่นผวนของราคาสูง บริษัทไหนที่มีสินค้าโภคภัณฑ์ เกี่ยวข้อง ต้องดูราคาเป็นส่วนประกอบด้วย
9 โอกาสการเติบโตของสินค้า บริการ
บริษัทที่ไม่โต จะเป็นการทำลายมูลค่าของผู้ถือหุ้นเองด้วย
SWOT analysis
การวิเคราะห์บริษัทสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอกและสภาพแวดล้อมภายใน
- Strengths จุดแข็ง
- Weaknesses จุดอ่อน
- Opportunities โอกาส
- Threats ความเสี่ยง
เรื่องของตัวบริษัท งบการเงิน
งบรวม
เทียบคร่าวๆ ว่าดีหรือไม่
2 รายได้ กำไร
เรื่องของรายได้ต่อสินทรัพย์
กำไรสุทธิ (ดูความแข็งแรงด้วยนะ)
3 ROA ROE
ROA ROE ว่าน้อยไปไม
อัตรากำไรสุทธิ
เยอะก็ดี ถ้าน้อยก็ดูว่าแข็งแรงเปล่า
งบดุล
งบกำไรขาดทุน
งบกระแสเงินสด
Five Force: โรงพยาบาล
1. Rivalry Among Current Competitors: การแข่งขันกันระหว่างคู่แข่งภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน
2. Bargaining Power of Suppliers: อำนาจต่อรองของ Supplier
3. Bargaining Power of Customers: อำนาจต่อรองของลูกค้า
4. Threat of Substitute Products or Services: ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน
5. Threat of New Entrance: ภัยคุกคามจากผู้แข่งขันหน้าใหม่
No comments:
Post a Comment