Thursday, December 27, 2012

เกี่ยวกับ Sat TV

สำหรับหุ้นกลุ่มนี้นะครับ ถ้าจำไม่ผิด มี WORK RS NINE GRAMMY NMG SLC 
* มาร์จะเน้นบางตัวนะครับ ตัวอื่นไม่ค่อยอยากเน้น มาก

เรื่องของ SAT TV นี่ เป็นกรณีที่น่าสนใจ เพราะถ้ามีความสามารถในการหาผู้ชมได้มาก และได้โฆษณาที่ดีมา จะดีมากๆเลย 

ปัจจุบันค่าโฆษณา freeTV อยู่ราวๆ 1แสนบาทต่อนาที และถ้าเป็นช่้องที่คนดูเยอะ ในเวลาที่คนดูเยอะๆ อาจขึ้นไป 3-4แสนบาทต่อนาที  

อย่าไปหวังว่าค่าโฆษณาของ sat TV จะเยอะมาก เพราะช่องมันเยอะ โฆษณาเลยมีตัวเลือกมากอยู่ แต่ถ้าช่องไหน คนดูเยอะ ก็ต้องดูกันอีกที อย่าง ช่อง WORKPOINT TV ก็มีคนดูพอสมควร 

ตารางนี้เป็น ตารางที่สร้างรายได้ แล้วแต่ว่า กี่ ชม ต่อวัน 



อย่าง 6 ชม หรือ 8 ชม ก็จะมีฉายซ้ำอีกรอบนึง เรียกว่า rerun แต่ไม่ได้ค่าโฆษณานะครับ 
ตารางนี้ เป็นค่าโฆษณา 10นาที ต่อรายการ 1 ชม นะครับ อย่าง 6ชม ต่อวัน ก็ได้ โฆษณา 60 นาที ต่อวัน

ความคาดหวังก็ ช่องไหน คนดูเยอะ ก็จะได้ค่าโฆษณาเยอะกว่าเพื่อน 

ลองเอามาคาดการณ์กับหุ้นที่อยู่ในกลุ่มดูนะครับ 




Tuesday, December 25, 2012

Five Force Sat TV (ทีวีดาวเทียม)

ตามที่เคยบอก
ไม่ค่อยอยากเขียน เพราะมันขึ้นแรงไปครับ

* ปัจจุบัน ปี55 มี Free TV หรือ ช่อง 3 5 7 9 11 ที่เราดูอยู่ทุกวัน (thaiPBS นี่ด้วยมั้ง)
* Sat TV หรือ ดาวเทียม จะมีช่องมากกว่าเยอะ ตอนนี้น่าจะเกือบ 100 ในอนาคต เห็นว่าเกือบ 300 เลยมั้ง
* ปี 56 เห็นว่าจะมี เคเบิ้ล TV ด้วย
* เยอะนะ


Five Force SAT TV 


1. Rivalry Among Current Competitors: การแข่งขันกันระหว่างคู่แข่งภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน

แข่งขันสูงมากกกกก เนื่องจาก คู่แข่งแต่ล่ะราย ย่อมต้องแย่งเรตติ้งกันอย่างหนัก ยิ่ง Sat TV ยิ่งช่องเยอะ เยอะสุดๆ 

เท่าที่เคยคุย การที่จะแข่งขันได้ ต้องดัง และมีชื่อเสียงมาก (ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ก็ได้) มีคนตามดูมาก ถึงจะได้เท่านั้น 

ในต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะมีแค่ ไม่กี่ช่องที่ดัง รวยเละ ส่วนช่องที่เหลือ ก็แค่อยู่ได้ เพราะต้นทุนส่วนใหญ่ ไม่ต่างกันมาก ที่ต่างคือ บุคคลกรมากกว่า เป็นkeyของกลุ่มนี้เลย 

2. Bargaining Power of Suppliers: อำนาจต่อรองของ Supplier

ถ้า ช่องไหน คนดูเยอะ อำนาจการต่อรองก็เยอะแน่นอน เพราะปัจจุบัน Free TV ก็แพงมาก นาทีละ แสน ช่วงที่คนดูเยอะ ก็ 3-4แสนเลย แต่ก็ต้องมีคนดูเยอะพอนะ 

ยังไงโฆษณา ก็ต้องการที่จะให้คนดูเยอะอยู่แล้ว เพราะบางครั้งมันก็คุ้ม อย่าง ช่องที่ฮิต ค่าโฆษณา แสนนึง แต่คนดูล้านคน กับ ช่องธรรมดา 5พัน แต่คนดู 500เอง มันก็ไม่คุ้ม นอกจากเป็นรายการเฉพาะเพื่อโฆษณาโดยเฉพาะ อย่างเช่น เสื้อกีฬาในรายการกีฬา รายการสำหรับเด็กกับ สินค้าแบบนี้นะ 

แต่ท่าที่คิด ส่วนใหญ่อำนาจไม่เยอะ ถ้าช่องนั้นมีคนดูเยอะ ใครให้เงินเยอะ ก็ได้ไป นอกจากบางช่องที่โฆษณามาช่วยแต่แรก พอเรตติ้งดี เจ้าของก็ยังให้โฆษณานั้นอยู่ (เหมือนแทนบุญคุณ) เพราะธุรกิจนี้ ยังไงก็ต้องใช้ connection สุง (ถ้าเจ้าของตาย หายนะเกิดแน่)  

3. Bargaining Power of Customers: อำนาจต่อรองของลูกค้า

อำนาจอยู่ปลายนิ๊วครับ ที่กดรีโมท ก็ลูกค้าคือคนดู เขาจะดูอะไรก็เรื่องของเขา เราทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากทำให้ดี ให้ดัง น่าสนใจ คนดูเยอะๆ เท่านั้นเอง 

4. Threat of Substitute Products or Services: ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน

ก็ตามที่เขียน สินค้าทดแทน สูงมาก ทั้ง Free TV  ,  Cable TV  ที่อยู่กลุ่มเดียวกัน 
แล้วอย่าง Internet TV หรือสื่ออื่นๆ ก็เยอะแยะด้วย 
แต่อย่างรายการ TV เองก็มีรายการที่คล้ายๆ เปิดมาแข่งกันก็เยอะ แต่ที่สำคัณคือ ถ้ารายการดี บุคลากรดี มันจะมีคนตามดูเอง

5. Threat of New Entrance: ภัยคุกคามจากผู้แข่งขันหน้าใหม่

การเข้ามาจะค่อนข้างง่ายมาก เพราะขอใบอนุญาติแปปเดียวก็เปิดใหม่ได้แล้ว แต่ก็มีข้อยากตรง การทำรายการให้มีคนดูมากๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันจะกลายเป็นตัวที่ทำให้ คู่แข่งรายใหม่เข้ามาได้ยากพอสมควร นอกจากคนที่มีชื่อเสียงแต่แรก แบบนั้นก็ เข้ามาได้เลย 

*ส่วนที่น่าสนใจ ผมจะเอาไปเขียนในกลุ่ม WORK RS NINE GRAMMY นะครับ 

Wednesday, December 19, 2012

บรรทึกประจำเดือน 11/55

เดือน 11/  2555 

หุ้นเดือนนี้ตอนต้นเดือน ทำท่าแย่น่าดูเลย ไม่มี New High มีแต่New low ทำใจลำบากเหมือนกัน ต้นเดือน 1297.99 แต่สัปดาห์หลัง จู่ๆก็ถูกลากขึ้นเยอะ 1332.92 ทะลุเลย 

ส่วนเดือนที่ผ่านมา ผมก็พึ่งเริ่มเล่น meta stock แล้วก็เอามาลงด้วย ตอนแรกก็เขียนสูตรเองเลย แต่ก็พบว่า ใช้สูตรคนอื่นดีกว่า แล้วดูย้อนหลังมา ก็ลองใช้เลย 

หุ้นที่ดูก็มีหลายตัว เพราะตัดสินใจ ใช้มาร์จิ้น กับระบบเต็มที่ เดียวการที่คิดว่า หุ้นแพง แต่ก็ไม่รู้จะแพงไปถึงไหน และหุ้นที่ดู เชื่อว่าอนาคต มีโอกาสจะขึ้นมากกว่าลง แต่ก็ต้องระวังเรื่อง Force Sell ด้วย 

มีเรื่อง 3 G ผ่าน หุ้น advanc intuch เลย สบายตัวเลย 
หุ้นตัวเล็กตัวน้อย วิ่งกันเยอะมาก เรียกได้ว่า มี Celling รายวันเลย 

ตอนนี้ผมเริ่มยอมรับเรื่อง หุ้นที่ดี ราคาแพง เพราะสมัยก่อน พยายามเอาแต่หุ้นถูกๆ

=====================================


Monday, December 17, 2012

Five Force สื่อสา่ร

Five Force: สื่อสาร



1. Rivalry Among Current Competitors: การแข่งขันกันระหว่างคู่แข่งภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน

ในอดีต ค่อนข้างรุนแรงมาก ช่วงแรก ที่มี advanc เจ้าเดียว จน Dtac เข้า่มา orange (หรือ true) และ hatch ที่มาตามสุดท้าย แต่ก็สู้ไม่ไหว และขายให้กับ true  ส่วน TOT TT&T พวกนี้ ตัดทิ้งนะครับ เพราะเล็ก และไม่ได้เรื่อง 

ก็สมัยที่ orange มา ได้เกิดสงครามราคาแบบบ้าเลือดเลย เสียดายตอนนั้นผมอยู่ มัธยม เลยไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก แต่ก็น่าจะพอรู้ว่า อัตรากำไรคงจะแย่น่าดูเลยทีเดียว 

ในปัจจุบัน การแข่งราคาเริ่มไม่ค่อยจะมีผลมากแล้ว อาจจะเป็นทั้งเรื่องของคุณภาพของสัญญาณด้วย 
ที่น่าแปลกใจเล็กน้อยคือ AIS โดนสัมปทานมา 20%ต้น Dtac โดน เกือบ 30% แต่ ค่าบริการ AIS แพงกว่า

ในอนาคต การแข่งขันที่เกิดขึ้นคือการใช้ดาต้า ซึ่งเป็นรายได้ 3 เท่าของ เสียง (อ่านๆมานะ) แน่นอน เนื้อชิ้นใหญ่ใครๆก็ต้องแย่งกันเต็มที่ล่ะครับ

2. Bargaining Power of Suppliers: อำนาจต่อรองของ Supplier
แบ่งเป็นกลุ่มๆนะครับ

กลุ่ม กสทช มั้ง กลุ่มที่ให้ใบอนุญาติ ซึ่งถ้าใครจะเข้ามา ก็ต้องขอใบอนุญาติด้วย ส่วนนี้ผมว่าไม่มีปัญหามาก แค่เล่นข่าวไปเรื่อยๆ เพราะเรื่องผลประโยชน์ (ขอหยุดแค่นี้ เดียวผมหัวหาย) แต่สุดท้าย ประชาชนและเศรษฐกิจ จะทำให้มันผ่านไปเอง

กลุ่มผู้ผลิตมือถือ ก็ไม่มีปัญหา เพราะสุดท้าย ถ้าผู้ผลิตมือถือไม่ออกแบบมาให้ใช้ได้ในประเทศไทย คนในประเทศ มันก็ไม่ซื้อ ดังนั้นผ่านไปเลย

กลุ่มผุ้รับเหมา อันนี้เขาก็เป็นลูกค้าเราด้วย แถมเราจะจ้างใครก็ได้ ไม่มีปัญหา

3. Bargaining Power of Customers: อำนาจต่อรองของลูกค้า

ประชาชนรายย่อย หมดอำนาจเลย นอกจากต้องระวังเรื่องการย้ายเบอร์ย้ายเครื่อง เท่านั้นเอง

กลุ่มองค์กร อันนี้ผมไม่มีข้อมูลนะครับ

4. Threat of Substitute Products or Services: ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน

อันตรายที่สุดของกลุ่มนี้ สมัยนู้นนนนน ที่มี เพจเจอร์ ที่ส่งข้อความกันได้ จู่ๆโทรศัพท์ส่งข้อความได้ เจ็งเลย

ในอนาคต ถ้า่มีการสื่อสารแบบใหม่ๆได้ ก็อันตราย ต้องดูไปเรื่อยๆได้ แต่คิดว่าไม่น่ามีปัญหา เพรา่ะเราเองก็เป็นทั้งลูกค้าและหาการสื่อสารใหม่ๆอยู่ตลอดอยู่

ที่จริงแล้ว ก็กลัวเรื่อง skype นะครับ ที่โทรศัพท์ผ่านเน็ต แต่ถ้าคนเอามาใช้ ก็ต้องใช้เน็ตบนมือถืออีก ดีๆ 

5. Threat of New Entrance: ภัยคุกคามจากผู้แข่งขันหน้าใหม่

ตัดทิ้งไปได้เลย เรื่องคู่แข่งหน้าใหม่ true ก็เกือบไม่รอด หรือไม่รอดก็ไม่รู้ แต่ back ใหญ่อยู่ เลยยังยืนได้ แม้ขาดทุนตลอด

ส่วน hatch ก็ไปแล้ว ไปรวมกับ true แล้ว

การที่คู่แข็งจะเข้ามา ก็ต้องไปแย่งประมูลใบอนุญาติ ต้องไปตั้งเสาอีก ต้องไปโฆษณาอีก แถมลูกค้าก็มีเครือข่ายอื่นใช้หมดแล้ว จะแข่งเรื่องราคาก็ยาก (ต้นทุนสูง ลงทุนสูง) แข่งเรื่องบริการ ก็เหนื่อย



สรุป โดยรวม ผมว่า ถ้าไม่มีเรื่องการเมือง เรื่องการให้ใบอนุญาติมาบีบหัวใจ ผมว่า มันเป็นกลุ่มนึง ที่น่าสนใจมาก แต่ต้องระวังเรื่องการพัฒนาของเทคโนโลยี ในอนาคตให้มากๆนะครับ 

Tuesday, December 11, 2012

Five Force โรงพยาบาล


Five Force: โรงพยาบาล


1. Rivalry Among Current Competitors: การแข่งขันกันระหว่างคู่แข่งภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน

ทุกโรงพยาบาลมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง ในเรื่องของบริการ และการโฆษณาคุณภาพ แต่เท่าที่เห็น แข่งขันทางด้านราคาน้อยมาก ถึงว่าเป็นเรื่องดี 

การแข่งขันที่ขนาดของโรงพยาบาล 
โรงพยาบาลขนาดเล็ก จะแข่งกับโรงพยาบาลขนาดใหญ่ได้ยากกว่า เนื่องจาก อุปกรณ์ ทางการแพทย์หลายชิ้น ราคาสูง ถ้าคนไข้น้อย มันจะไม่คุ้มเลย  เรื่องการทำมาตราฐานอีก ต้องลงุทนพอสมควรเลย
แต่ข้อดีของโรงพยาบาลเล็กๆ คือ ประหยัดต้นทุน ลงทุนต่ำกว่า และสามารถขยายได้ง่าย ในต่างจังหวัด พื้นที่คนไม่หนาแน่นมาก ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเขตพื้นที่คนหนาแน่นมาก 

สุดท้ายแล้ว ผมเชื่อว่า โรงพยาบาลใหญ่ๆ ก็จะมาเปิดโรงพยาบาลขนาดเล็กแข่งแน่นอน เพราะจะได้กระจายโรงพยาบาลไปทั่ว แถมสามารถ ส่งคนไข้หนักมาโรงพยาบาลใหญ่ได้อีก  
ส่วนโรงพยาบาลเล็กๆ ก็จะหันไปทำโรงพยาบาล เฉพาะทางโดยตรงเพื่อให้อยู่รอดเรื่อยๆ

การแข่งขันระหว่าง โรงพยาบาลเอกชน กับ โรงพยาบาลรัฐ 
โดยหลักๆ โรงพยาบาลรัฐ จะรับคนชั้นล่าง ส่วนเอกชน จะรับคนชั้นบน เป็นส่วนใหญ่ แต่ในอนาคต โรงพยาบาลรัฐก็จะเปิด คลินิคพิเศษนอกเวลา นอกจากนั้น โรงพยาบาลรัฐ มักจะเอานักศึกษาแพทย์มาทำงานด้วย 
ส่วนนี้ผมว่าอนาคตไป คนชั้นบน กับ คนชั้นล่าง ก็คงยังจะแยกกันเข้าโรงพยาบาลอยู่ดี เป็นไปได้ยาก ถ้าจะให้ทุกคนเข้ามาโรงพยาบาลเดียวกัน 


2. Bargaining Power of Suppliers: อำนาจต่อรองของ Supplier

บุคลากร 
พวกหมอชื่อดัง นี่ ผมมองเป็น Supplier นะ เพราะเป็นผู้ให้บริการที่สำคัญของโรงพยาบาล ยิ่งในอนาคต หมอคนเดียว อาจดึงคนเข้าโรงพยาบาลมาได้เยอะมากๆ และถ้าหมอคนเดียวกัน ลาออก คนไข้ก็พร้อมไปหาหมอคนนั้น คนไข้มองโรงพยาบาล เป็นเพียงสถานที่อำนวยความสะดวกเท่านั้น 
ดังนั้นการจะดึงหมอชื่อดังมา และทำให้อยู่นานๆ ก็เป็นส่วนสำคัญของโรงพยาบาลเลย แต่ส่วนนี้ ผมไม่ได้ในวงการ ไม่รู้จริงๆ 

เครื่องมือทางการแพทย์ และยา
โรงพยาบาลที่ใหญ่มาก จะมีอำนาจสูงมากในการต่อรองราคาพวกนี้ มีความสามารถในการซื้ออุปกรณ์ที่ดีได้สูง และยังสามารถ เลือกยาที่ให้คนไข้ได้เสมอ ทำให้อำนาจต่อรองค่อนข้างสูงมาก 

3. Bargaining Power of Customers: อำนาจต่อรองของลูกค้า

คนไข้
แทบจะไม่มีทางให้ต่อรองเลย สำหรับรายย่อย นอกจากหาโรงพยาบาลถูกๆ แทนไปก่อน 

กลุ่มประกัน หรือบริษัท ที่มาซื้อแพ็ตเก็ตแบบเหมาให้ลูกค้าหรือพนักงาน 
มีทางต่อรองบาง สำหรับ บริษัทที่ขอเหมาให้กับ พนักงาน เพราะต้องการถูกๆ แต่กลุ่มประกันยาก เพราะลูกค้า ต้องการแต่ของดีๆ อยู่แล้ว 


4. Threat of Substitute Products or Services: ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน

อาหาร เครื่องดื่ม เพื่อสุขภาพ 
ก็ตามที่เขียน เดียวนี้ เทรนมาแรง แต่เท่าที่ผมเห็น ไร้สาระมากกว่า อย่างเครื่องดื่ีม น้ำตาลเป็นก้อนๆเลย กินแล้วอ้วนมากกว่า หรืออย่าง อาหารเพื่อสุขภาพ แพงสาดๆ เลย 

ผมว่ามันเป็นเรื่องความเชื่อมากกว่า เหมือนโรงพยาบาล ล่ะ เล่นกันที่ความเชื่อ แต่โรงพยาบาลดีกว่า ที่มีเทคโนโลยี และความรู้รองรับ

การแพทย์แบบแปลกๆ (ไม่รู้จะเขียนยังไง) 
ก็อย่างเช่น เรื่องการเอาของแปลกๆ มารักษา อย่าง เหล็กในผึ้ง การเอาตัวเข้าห้องอบ การฝังเข็ม 
อันนี้ผมบอกไม่ถูก แต่ถ้าคนไข้คนไหน ได้ลอง แล้วหายจะอาการป่วย ส่วนใหญ่ก็จะเชื่อไปเลย

ไสยศาสตร์
อันนี้ก็เรื่องความเชื่ออีก คือทำแปลกๆ อย่างคนจะตาย เอามาสวดมนต์ นั่งสมาธิ มันก้ไม่น่าจะหายได้เลยนะ 
ปล. ไม่ได้ลบลู่นะ


5. Threat of New Entrance: ภัยคุกคามจากผู้แข่งขันหน้าใหม่

ข้อนี้ ตัดออกได้เลย เพราะการลงทุนโรงพยาบาลใหม่ ไม่ถูกเลย ทั้งค่าที่ดิน ค่าอาคาร ค่าอุปกรณ์การแพทย์อีก นอกจากนั้น การหาแพทย์ที่มีชื่อเสียงก็ยาก การที่คนไข้จะเข้ามาก็ยากเพราะโรงพยาบาลที่พึ่งเปิดใหม่ ยังไม่มีชื่อเสียง ทำให้คนไข้ไม่กล้าเข้ามารักษาตัวกันมากนัก 
กลายเป็นการลงทุนที่สูง กับชื่อเสียงโรงพยาบาล ทำใ้ห้โรงพยาบาล หน้าใหม่เข้ามาเปิดได้ยากไปด้วย 

Wednesday, December 5, 2012

บรรทึกช่วยจำ BGH


BGH 


ที่ผมสนใจนะครับ
  • โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ 
  • ผบห มีแนวโน้มอยู่ฝั่งเดียวกับผู้ถือหุ้นสูง (เล่นซื้อตลาดทางเลย)
  • เป็นโรงพยาบาลที่ไล่เทคโอเวอร์ โรงพยาบาลอื่นๆเยอะมาก 
  • เนื่องจากการเทค ไม่ได้เทคแล้วจบ แต่มีการเข้าไปบริหาร ปรับปรุงด้วย แน่นอน โรงพยาบาลที่เทคมา สามารถทำกำไรได้ดีขึ้นด้วย 
  • การที่มีโรงพยาบาลเป็นเครือข่าย ทำให้เกิดอำนาจต่อรองได้สูง อย่างการซื้อยา การซื้ออุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ
  • เครื่องมือทางการแพทย์ บางตัวมีมูลค่าสูงมาก ทำให้โรงพยาบาลเล็กๆ ไม่สามารถมีได้ แต่ BGH มีได้สบาย เพราะแค่เครื่องเดียว ก็รับคนได้ทั้งหมดจากโรงพยาบาลในเครือด้วย (โอนคนไปมาได้สะดวก) 
  • สรุป โรงพยาบาลยิ่งใหญ่ ต้นทุนยิ่งประหยัด และสามารถดันรายได้ได้ทั้งเครือด้วย 

แต่ก็มีความเสี่ยง ด้วย
  • ถ้ากำไรมากไป เดียวจะโดนกลุ่มคนชอบหาเรื่อง พวกนักวิจารณ์ เล่นงานเอา 
  • การเทคโอเวอร์ โรงพยาบาลอื่น ถ้าควบคุมไม่ดี ก็มีปัญหา หรืออย่างที่ผ่านมา โีรงพยาบาลในเครือ ไปซื้อสนามกอฟท์ ซึ่งผมมองว่ามันไม่ดีมั้งนะ (หรือว่าคนป่วยต้องไปออกรอบกับหมอ) 

Saturday, December 1, 2012

มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมืออาชีพ




มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมืออาชีพ 
ธนาคาร กสิกรไทย 
1/12/2555

ผมมีโอกาสได้ไปฟังบรรยายฟรีที่ กสิกรไทย เลยจดมาเล่่าให้ฟัง
ครึ่งแรกจะเป็น นักวิเคราะห์ กับ ดร นิเวศ 
ครึ่งหลังจะเป็น นักวิเคราะห์ กองทุน กับ Hong Value นะครับ

เทคนิดการดูหุ้น ดูยังไง 

Thursday, November 29, 2012

-หุ้น IPO ANANDA

ANANDA บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด มหาชน

รายละเอียด 
ขายหุ้นเพิ่มทุน 1,333ล้านหุ้น par 0.1 บาท ราคา 4.2บาท (ราคาแพงมาก 42 เท่า)

วัตถุประสงค์ การใช้เงิน ipo  
ชำระหนี้เงินกู้ 3400 ล้านบาท 
*ผมลองเอางบปี 9/55 มาคิดหักหนี้ออก (ต้นทุนการเงิน) ยังขาดทุนอยู่ดี แต่ก็เกือบเหลือ 0 นะ
ซื้อ ADO 500 ล้านบาท 
เงินหมุนเวียนเพิ่ม 1468 ล้านบาท 


รูปแบบธุรกิจ 
1 พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พวกคอนโด ติดรถไฟฟ้า 
2 รับบริหารโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (หมู่บ้าน มีศูนย์อาหาร แข่งรถ ด้วย)

คือ ทำคอนโดเอง กับ รับจ้างทำคอนโด (ตัวรับจ้างจะมีชื่อ by ananda ต่อท้าย)


2553 มีการซื้อกิจการ AD2 เข้ามาทั้งหมด จากตอนแรก ถือ 5% เป็น 100% ทำให้สินทรัพย์รวมพุ่ง ปริ๊ดๆเลย 

2554 รายได้เพิ่มขึ้นจากการขาย คอนโด แต่กำไรพุ่งลง บ้าชิบ ส่วนผู้ถือหุ้นติดลบอีก 




ปัจจัยความเสี่ยง ธุรกิจ และการดำเนินงาน

- ผู้ถือหุ้นเป็นลบ อาจไม่สามารถซื้อขายได้ 
ขอโทษนะครับ ขอด่าหน่อยเถอะ  ไอ้เชี่ยยยยย  เข้ามา้เพื่อปล่อยของเสียให้คนในตลาด ทำกำไรอีก 42 เท่าอีก  
แต่ถ้าใครจะลุ้น turn around ก็ลองดูนะครับ ผมอาจพลาดก็ได้ 

- ความเสี่ยงจากผลประกอบการ อนาคต ขึ้นกับโครงการที่ขายอยู่ 
คาดการณ์ยากครับ ส่วนนี้ 

-ความเสี่ยงจากการเข้าซื้อ ADO 
ระวังนะครับ ซื้อ AD2 ยังเน่าเลย ส่วนที่จะซื้อ จะซื้อ ADO เพิ่ม 48.26% 1พันล้าน + ดอกเบี๊ย 4ล้านกว่า จาก TMW 

-ความเสี่ยงจากการจัดหาที่ดินเพื่อพัฒนาในอนาคต
พวกนี้เหนื่อยครับ 

-ความเสี่ยงจากการที่บริษัท มีรายได้หลักจากผลิตภัณฑ์หลักชนิดเดียว
ทำคอนโดอย่างเดียว 100% ถ้าทำแล้วไม่ดี ก็หายนะเลย เพราะขนาดตอนนี้ดีๆ ยังขาดทุนเลย 

-ความเสี่ยงจากพึ่งพิงผู้รับเหมา 

-ความเสี่ยงจากคดีความ
หลักๆเป็นเรื่อง ที่จอดรถ โครงการ ไอดีโอ คิว พญาไท ที่จอดรถที่ต้องการ 391คัน แต่โอดีโอ ขาดไปไม่เยอะ 107 คันเอง เลยฟ้องร้องอยู่ 

ปัจจัยควารมเสี่ยงด้านการเงิน 

-หนี้สินต่อทุนสูง  น่าจะเขียน หนี้สินมากกว่าทุนนะ 
แต่ยังสามารถ ชำระดอกเบี๊ยได้อยู่ -*-

-มีการปล่อยเงินกู้ให้รายย่อยด้วย

ความเสี่ยงจากโครงสร้างกลุ่ม 

-บริษัทต้องพึ่งพิงเงินปันผลจากบริษัทอื่น เพื่อจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น 
ยังอุดส่าจ่ายอีกนะ 

* ความเสี่ยงที่น่าสนใจ ขี้เกียจเขียนล่ะ
ความเสี่ยงจาก ราคาหุ้นจะผันผวนมาก ผู้ลงทุนอาจไม่สามารถขายได้ในราคาที่เท่ากับ หรือมากกว่า ราคาจองได้ 


สรุปนะครับ ผมไม่แนะนำล่ะกัน 
ตั้งแต่ธุรกิจ รับเหมาที่กำไรไม่แน่นอน ต้นทุนสินค้าก่อสร้างก็โภคพันธ์อีก ธุรกิจขายคอนโดก็เหนื่อยอีก (ต้องสร้างใหม่ ขายใหม่ตลอด) 
จนมางบการเงิน ก็มีปัญหาอีก ขาดทุนอีก ตอนแรกนึกว่า ดอกเบี๊ยเงินกู้เยอะ แต่ดันเป็นว่า กำไรขั้นต้น ก็ขาดทุนแล้ว 



Tuesday, November 27, 2012

บรรทึกช่วยจำ Kamart Beauty


เรื่อง kamart Beauty ในมุมมองของมาร์นะ

อาจมีผิดพลาดได้อยู่ เพราะยังไม่ได้เข้าไปดูรายละเอียดเชิงลึก
 อย่าเชื่อมาก ลองคิดดูด้วยเหตุผลนะครับ


ก็เรื่องของความแตกต่างของ Kamart Beauty คือ
Kamart จะเป็นผู้นำเข้าสินค้าความงามจากเกาหลีเป็นหลัก โดยบริษัทแค่เป็นตัวแทนนำเข้ามาเท่านั้น
Beauty จะเป็นผู้ผลิตสินค้าในแบรนด์ของตัวเองแล้วมาขายเองเลย คนไทย แต่เรื่องสินค้านอกมาขายด้วยหรือเปล่า ไม่แน่ใจ แต่ไม่น่าจะเอามาขายในร้านนะ

ข้อดี ข้อเสีย Kamart

ธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความงาม เป็นตัวฉุดกำไรบ้าง ทำให้งบไม่สวยบ้าง ผมก็ไม่แน่ใจ ว่ามันต้องทำ หรือยังไง

สามารถเปลี่ยนสินค้าได้เร็ว ถ้ามีสินค้ามาใหม่ ก็สั่งซื้อมาได้เลย ไม่ต้องลงทุึนเยอะนอกจากคลังสินค้าเป็นหลัก อันไหนขายดี ก็เอามาขายต่อ อันนี้ขายไม่ดี ก็หยุดขาย ต้นทุนส่วนนี้เลยต่ำ


เนื่องจากการซื้อมาขายไป ทำให้กำไรมีสิทธิ์หายระหว่างทางเยอะ นอกจากนั้น เหมือนตอนนี้ kamart เน้นขายส่งด้วย ทำให้่อัตรากำไรจะต่ำลง
นอกจากนั้นสินค้า kamart ที่มาจากเกาหลี ก็มีรายย่อยคนอื่นไปซื้อได้ด้วยเหมือนกัน เอามาขาย ได้กำไรมากกว่าด้วยซ้ำ แถมมากดราคาแข่งกันอีก


ไม่ต้องลงทุนเปิดสาขาเอง ทำให้ประหยัดต้นทุนในส่วนนี้ได้มาก และขยายได้เร็วกว่าที่จะต้องลงทุนเปิดร้านเอง
การที่ไม่เปิดสาขาเอง พยายามทำเหมือน 7-11 โดยการขายแฟรนไซล์นั้น จะมีปัญหาในแง่ของร้านรายย่อยที่ไม่เป็นระบบ ระเบียบ อย่างเอาสินค้าวางมั่ว เอาสินค้าปลอมหรือของเจ้าอื่นมาขายในร้าน หรือการขายราคาไม่เท่ากันก็มี

kamart เน้นสินค้าเกาหลี ถ้าวันดีคืนดี สินค้าเวียดนามดังขึ้นมาแทน ก็แย่เหมือนกัน แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่น่ากลัว เพราะ เป็นเพียงบริษัทนำเข้า แค่ไปนำเข้าขอเวียดนาม ก็ได้แล้ว
กรณีแฟชั่นเปลี่ยน คนทั้งไปก็จะคิดว่าร้าน kamart ต้องเกาหลี จะมาเป็นเวียดนามก็ไม่ดี นอกจากเปิดใหม่ ซึ่งรายย่อยที่เปิดร้าน เฟชน์ไซล์ ก็ไม่พอใจแน่

คนรู้จักผมหลายคน เลิกใช้ kamart แล้ว ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือสินค้าคุณภาพแย่ลง อย่างครีมตัวขาว เมื่อทีเดียวเห็นผล เดียวนี้ หลายรอบกว่าจะเห็น แย่เลย

ข้อดี ข้อเสียของ Beauty
การสร้างสินค้าเอง แบรนด์เอง ทำให้ควบคุมคุณภาพได้ดี และัทำกำไรได้ดีกว่ามากด้วย แต่ข้อเสียคือ ต้นทุนจมสูง และการผลิตแต่ล่ะครั้งก็ต้องผลิตให้พอดีขาย (แต่ปกติพวกนี้กำไรมหาศา่ลอยู่แล้วนะ)

การเปิดสาขาเอง ทำให้การควบคุมคุณภาพ ดีกว่าแต่ก็มาพร้อมกับต้นทุนที่แพงพอสมควรเลย

เท่าที่รู้มา Beauty ทำเครื่องสำอางตั้งแต่ชั้นบนลงล่างเลย ทำให้ไม่มีลูกค้าเฉพาะทางโดยตรง (น่าจะเน้น คนชั้นบนเลย ไม่ก็ คนชั้นล่างเลย) บางครั้งทำให้ คนที่เข้ามาไม่แน่ใจในยี่ห้อด้วยซ้ำ
*เรื่องของการวางขายสินค้า ก็เหมือนพวกแฟชั่น ถ้ายี่ห้อเดียวกัน ร้านเดียวกัน วางของแพง กับของถูกรวมกัน จะทำให้ยี่ห้อเน่าเลย ดูอย่าง หลุย กุดซี่ มีแต่แพงๆ แต่คนก็ยังใช้กัน เพราะมันแพง แต่ถ้าเอาพวกนี้ไปวางร้านข้างทางที่มีกระเป๋า 150 อยู่ คนคงไม่กล้าซื้อกัน

*ส่วนเรื่อง ผบห kamart ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่รุ่นลูกน่าสนใจดี beauty ผมยังไม่มีข้อมูล

Sunday, November 25, 2012

หายนะทางเทคโนโลยี

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมจำได้ อาจมีผิดพลาดบ้าง ขออภัย แจ้งด้วยก็ดีนะครับ

ปล  ไม่ได้ชี้แนะ หรือ แนะนำ อะไรนะครับ ใครใคร่ซื้อ ใครใคร่ขาย ตัดสินใจเองนะครับ

เรื่องของเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่ผ่านไปไวมาก คนที่ไม่ติดตามก็จะกลายเป็นคนล้าหลังไปเลย ยิ่งสมัยนี้ เยอะมาก จนไม่รู้จะติดตามอะไรแล้ว โดยที่ผ่านมา ก็มีบริษัทโตสุดๆ แล้วก็ล้มหายตายจากไปเยอะมาก โดยผมจะเอาส่วนที่จำไ้ด้มาล่ะกันนะครับ

เริ่มจากหุ้นไทยเลย

SIS ผมเคยเขียนบทความอยู่ นึกไม่ถึงว่า จะมีหายนะเพิ่มมาอีกอย่าง หลังจากน้ำท่วม 54 ไป สมัยก่อนเป็นบริษัทที่ทำกำไรได้ดี อัตรากำไรนิ่งมาก คาดการณ์กำไรได้ง่าย มีการเพิ่มประสิทธิภาพอีก แล้วก็การควบคุมสินค้าคงเหลือดีมาก ไม่ค่อยมีปัญหา

จนกระทั่ง SIS เจอน้ำท่วมไปรอบนึง ทำให้ขายสินค้าไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้รับความเสียหายมากนัก แม้จะขาดทุึน แต่โดยรวมก็ยังดีอยู่ ตอนนั้นผมเลยมองว่า น่าจะเป็นหุ้น turn around ได้ แต่ก็ไม่ได้ซื้อนะ เพราะส่วนตัวแล้ว ไม่ชอบหุ้นเทคโนโลยี แบบพวกขายโทรศัพท์มากนัก

จากนั้นไม่นาน บริษัท กำไรหดอีกรอบจนขาดทุน (ถ้าจำไม่ผิด) จากการที่ บริษัทมีมือถือ HTC และ BB อยู่ใน stock เยอะ แต่ขายไม่ออก (ช่วงนั้นรอบๆตัว มีแต่คนใช้ iphone Samsung กันหมด) ทำให้ต้องลดราคาอย่างหนัก เพื่อล้างstock ออกให้หมด และ samsung เองก็ดูเหมือนว่าจะเปิด shop เองด้วย ยิ่งทำให้ SIS พื้นฐานเปลี่ยนเข้าไปใหญ่ อีกด้วย

อีกส่วนที่ผมไม่ค่อยชอบ SIS มาแต่แรกด้วย ก็จะเหมือนทุกครั้งที่ผมบอก คือ ผมชอบธุรกิจที่ ใช้แล้วหมดไป อย่าง น้ำ อาหาร พลังงาน หรือบริการก็ได้ แต่ SIS ขายโทรศัพท์นี่สิปัญหา เพราะต้องรอลูกค้าใช้จนพัง ไม่ก็อยากเปลี่ยนเอง ก็ยังดีกว่าพวกคอนโด บ้าน ที่เป็นระยะยาวนะครับ
นอกจากนั้น ก็เรื่องราคาที่ถูกลงทุกวัน และโทรศััพท์ ที่ตกรุ่นเร็วเวอร์ (เล่นออกมาทุกเดือนนินา)

ปล. เหมือนเคยได้ยิน สินค้าIT พวกนี้ กำไรต่ำมากกกกก เห็นว่าตั้งแต่โรงงานสร้างจนวางขาย กำไรรวมราวๆ 5-10% เอง


IT ตัวนี้ผมเชื่อว่า มีคนตาม ดร เยอะมาก แต่ผมไม่ได้ตามนะ เหตุผลก็ไม่ต่างจาก SIS มากนัก สำหรับตัวนี้ ผมเอาคำพูดของ ดร มาเลยดีกว่า สะดวกกว่า แต่อาจไม่ตรงทุกตัวนะ แค่ประมาณเอา

" ตอนที่ซื้อ IT ผมเชื่อว่า เทรนของการมีคอมพิวเตอร์ทุกบ้าน มันกำลังมา (หลายปีมาแล้ว) อย่างน้อยก็ต้องมีกันบ้านละเครื่องแน่นอน ทำให้ตัดสินใจ ซื้อหุ้นนี้ เพื่อลงทุน"

" โลกมันเปลี่ยนไปเร็วมาก เมื่อก่อน ซื้อคอมที 4-5หมื่นบาท มีทั้งหน้าจอ เคสคอม คีย์บอร์ด เม้า ลำโพง อุปกรณ์เสริมก็มีพวก กล้อง สแกนเนอร์ พริ้นเตอร์  เต็มไปหมด "

" ตอนนี้เหลืออะไรบ้างล่ะ หน้าจอแบนๆ (ipad พวก tap-lap) เคส เม้า คียบอร์ด ลำโพง หายหมด แถมราคาก็ถูกกว่า คุณภาพก็ดีกว่า หรืออย่างโทรศัพท์ ก็รวมอุปกรณ์เข้าไปหมด เช่น กล้อง คอมขนาดจิ๋ว ไมค์ อัดเสียง อีกเยอะ หรืออย่างพวกอุปกรณ์เสริม เช่น พริ้นเตอร์ ก็ถูกกว่าหมึกพิมอีก สแกรนก็เหลือนิดเดียว ราคาก็ถูก กล้องสมัยนี้ ถูกสุดๆอีก "


รายละเอียดก็ประมาณนี้นะครับ


HTECH ผมก็มองๆอยู่ว่าจะทำยังไงต่อ สำหรับคนที่ไม่รู้ทำอะไร บริษัทนี้ ทำเกี่ยวกับใบมีดกลึง ใช้ในอุตหกรรมที่ต้องการความแม่นยำสูง ซึ่งรายได้หลักมากจากกลุ่มทำ Hard disk (ที่เก็บข้อมูลในคอม) โดยพวกใบมีดพวกนี้ ใช้ได้แปปๆ ก็ต้องเปลี่ยนเรื่อยๆ ทำให้บริษัท HTECH มีรายได้ค่อนข้างดีเรื่อยๆ

แต่อย่างที่บอก ในอนาคต อุปกรณ์ที่ใช้เก็บความจำ Flash memory ซึ่งราคาลดอย่างรวดเร็ว จำได้ว่าตอนกล้องดิจิตอล ออกใหม่ๆ 32MB ราคาเป็นพันเลย ตอนนี้ 32GB ราคา 800 เอง (ดูดีๆ MB > GB 1000เท่านะ) ตอนนี้ราคาก็ยังลดอย่างต่อเนื่อง ในอนาคต ผมเชื่อว่า Flash memory ต้องมาแทน Hard disk แน่นอน 

*แต่เห็นมีคนว่าไว้  HTECH ก็เริ่มมีส่วนที่ผลิตให้กับ Flash memory ด้วย แต่ผมก็บอกไม่ได้นะ 


JMART ตัวนี้ โดยรวมผมไม่ได้ตามมากนัก แต่รู้แต่ที่คนสนใจมากขึ้นเยอะ ทำให้ราคาไปไกลเลย ไม่ได้มาจากการขายโทรศัพท์ แต่เป็นการไปตามหนี้เน่า NPL มากกว่านะครับ


ตัวที่เหลือไม่ค่อยได้ตาม เท่าไหร่ ขออภัยนะครับ ที่เหลือก็จะเป็นของต่างประเทศ


Kodak โกดัก เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะ กล้อง และฟิล์ม ที่ใหญ่ และดีมากบนโลกเลย ในสมัยก่อน แต่ปัจจุบัน ถ้าจำไม่ผิด ประกาศล้มละลายไปแล้ว เนื่องจากอะไรก็น่าจะรู้กัน

เหตุเกิดจาก ตอนที่กล้องดิจิตอลออกมาใหม่ๆ บริษัทอื่นๆก็หันมาทำกล้องดิจิตอลกันหมด แต่ Kodak กลับไม่สนใจ โดย ผบ บอกว่า "ไม่มีทางที่กล้องดิจิตอล จะมาแทนกล้องฟิล์ม"


Nokia ได้ข่าวว่า อีกไม่นาน ถ้ายังไม่มีอะไรดีๆ ออกมาใหม่ บริษัทจะล้มละลายภายในปี 57 แน่นอน ทั้งที่เมือก่อน Nokia เป็นบริษัทที่ดีมาก โทรศัพท์ใครก็ใช้ Nokia แต่ตั้งแต่ปี 49 (ถ้าจำไม่ผิด) ก็ถูก BB ตีตลาด จากนั้น ก็เจอ Iphone Samsung ตีตลาดอีก แล้ว ระบบซิมเบียร์ที่คนไม่นิยมอีก (มันห่วย) ที่โดน IOS จาก Iphone กับ Android ตีตลาดเละเลย

อีกอย่างผมว่า การที่ Nokia ทำโทรศัพท์ ออกมามากเกินไป พยายามทำทุกตลาด ทำให้โทรศัพท์มันดูแย่ลง ตกรุ่นเร็วเกินไปด้วย

ปัจจุบัน Nokia ได้จับมือกับ Microsoft เพื่อทำระบบ window 8 phone ออกมาแข่งขันแทนแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าจะ สู้ได้แค่ไหน ดูกันต่อไป



ที่จริงยังมีอีกหลายตัวมาก ที่เจอปัญหาเรื่องเทคโนโลยี
- การพัฒนาที่เร็วมาก
- การที่แข่งขันราคาอย่างรุนแรง (เพราะต้องรีบขายให้หมด เดียวสินค้าล้าหลัง)
- เทรนด์ กระแส ที่เปลี่ยนแรงและรุนแรงมาก
- ส่วนใหญ่ มักจะขายเป็นเครื่องๆ ทำให้ต้องหาเงินตลอด ไม่มีการทบของรายได้ หรือ snow ball ด้วย

Thursday, November 8, 2012

-แอบดู BCH


BCH : บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน)
หรือ KH : เกษมราษฎร์ (ชื่อเก่า)

ตัวนี้ เคยสนใจ แต่ไม่ได้แนะนำนะ วันนั้นเอามานั่งอ่านเล่น


เหตุที่สนใจ เห็นว่าสร้างโรงพยาบาลเพิ่ม ชื่อ The World Medical Center ซึ่งจะรับลูกค้าระดับบน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และมีได้ยินว่า จะสร้างโรงพยาบาลเพิ่มตามทีหลัง อีก 2-3ปี

ปัญหา การสร้างโรงพยาบาล ต้องใช้ต้นทุนสูงมาก และค่าเสื่อมที่ตามมาในงบ จะทำให้กำไรลดลงอย่างมีนัยยะแน่นอน กว่าจะมีรายได้เข้ามาจนถึงจุดคุ้มทุนอีก เพราะเรื่องชื่อเสียงอีกด้วย ที่ทำให้ลำบาก

รายละเอียดคร่าวๆ เท่าที่จำได้
มีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 6 ที่ (ไม่รวม WMC นะ)
ซึ่งมี 3 โรงพยาบาล ถือหุ้น100%
อีก 3 แห่่ง ถือไม่ครบ แต่ถ้าคิดง่ายๆ ก็เหลือ 2แห่ง

ถ้าเพิ่มอีกที่ WMC คิดเล่นๆ รายได้ก็ควรจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยๆ 20% (จาก 5แห่งเป็น 6 แห่ง)
แต่ตามจริงแล้ว ควรมากกว่านั้น ถ้าจำไม่ผิด เหมือนจะเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในเครือเลยนะ

นอกจากนั้น กรณีการรับคนไข้ระดับสูง คนไข้ชั้นบน มักจะมีรายรับที่ดีกว่า ไม่เหมือนกับคนไข้ชั้นล่าง ที่เน้นถูกๆ บางครั้ง ไม่มีจ่าย ส่วนนี้ทำให้ผมคาดการณ์ว่า อัตรากำไร น่าจะสูงขึ้น

แต่ปัญหาคือ ค่าใช้จ่าย ไม่ว่าลงทุนก่อสร้าง ค่าแพทย์ บุคลากร ค่าเครื่องมือการแพทย์ ที่มีราคาสูงมากๆ ประกอบกับการเปิดโรงพยาบาลใหม่ อาจทำให้คนไข้ ไม่กล้าเข้ามารักษา (ไม่ใช่พวกห้าง พวกสินค้า ยิ่งใหม่ยิ่งดีนะ)


ประเด็นส่วนนี้ คาดการณ์เล่นๆ ปีหน้าต้นปี รายได้เพิ่มแน่ แต่รายจ่ายเพิ่มมากกว่า จนกำไรลด จากการพึ่งเปิด WMC ให้ลองสังเกตุดูว่า เมื่อไหร่ที่ ต้นทุนเริ่มคงที่ แต่รายได้เริ่มเพิ่มตาม จนอัตราส่วนกำไรเริ่มกลับมาปกติ อาจจะกลายเป็นหุ้นที่น่าสนใจตัวนึงเลย (เห็นในคาดการณ์ ว่าไว้ 2ปีนะ)

Monday, November 5, 2012

บรรทึกช่วยจำ INTUCH ADVANC


ขอแจ้ง ณ ตรงนี้ก่อน ว่าผมมี  อาจทำให้เกิด Bias ด้วย ปล.มี intuch

===================20/12/12===============

ขอแจ้งเรื่อง 3 G ก่อน  สำหรับ ADVANC INTUCH นะ 
เรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบ จาก 2Gกว่าๆ เป็น 3G นะครับ 

ข้่อเสีย
โดนบังคับให้ลดค่าบริการลง ประมาณ 10-15% อาจทำให้รายได้ ลงมาเยอะ แต่ในส่วนตัวเชื่อว่า บริษัทไม่โง่ลดราคาลงมาหรอกครับ น่าจะเป็นการเพิ่มการบริการกันมากกว่า 
อย่างจ่ายเดือน 700 ได้ค่าโทร 300 ได้เน็ตไม่จำกัด และ3Gสูงสุด อีก 1GB 
อาจ เป็น 700บาท ได้ค่าโทร 400 ได้เน็ต เพิ่มเป็น 1.5GB แบบนี้มากกว่า 
* คงไม่ลดค่าบริการเลยทันที

ค่าเสื่อมจากการลงทุน ครั้งใหญ่ ทำ 3G อาจทำให้กำไรตกกระทันหันในช่วงแรกด้วย 

ข้อดี 
ได้ลดสัมปทาน จาก 24%(มั้ง) เหลือ 5-6% (มั้ง)  ทำให้ รายจ่ายลดลงจากรายได้ เกือบ20% ในกรณีที่สามารถ ย้ายลูกค้าได้หมดทั้งที ซึ่งเป็นไปไม่ได้ อาจต้องใช้เวลาสักพักนึง

นอกจากนั้น ถ้าโชคร้าย โดนลดค่าลดบริการก็อาจทำให้ คนหันมาใช้บริการ อินเตอร์เน็ตบนโทรสับมากขึ้น ซึ่งค่าบริการ data มากกว่า voice 3เท่า 

แนวโน้มอนาคตเกี่ยวกับการใช้ Cloud อีกด้วย (การส่งดาต้าผ่านเครือข่าย ทำให้คนไม่ต้องมี Hard Disk) 

สรุป ผมมองว่า หุ้นปีหน้า ไตรมาสแรก กำไร อาจจะดอปลงมา แต่สุดท้าย ระยะยาว ก็จะดีเอง
ส่วนเรื่องการแข่งขันราคา ไม่น่าจะมีอีกแล้ว เหลือ 3 เจ้า ฮั่ว อยู่แล้ว

=========================================

INTUCH 

ที่ผมสนใจนะครับ

  • เป็นบริษัทแม่ของ ADVANC และ THCOM 
  • กำไร 98% และปันผลมาจาก ADVANC แต่กลับมีส่วนลด 15-20% 
  • ปันผลค่อนข้างเยอะ เพราะรายใหญ่ อยากได้เงินสด
  • ราคา (PE) ต่ำ ในภาวะตลาดแบบนี้
  • การเติบโต ที่ค่อนข้างจะสูง จาก ADVANC 
  • ADVANC มีส่วนแบ่งตลาดสูงคิดเป็น 44%จากยอดผู้ใช้ และคิดเป็น 54% (หมายความว่า ลูกค้าที่ใช้ AIS มียอดการใช้จ่ายสูงกว่าค่ายอื่น)
  • เห็นว่าจะไปทำ TV ดิจิตอลด้วย น่าสนใจ เพราะเป็นสื่อที่สำคัญ ในการโฆษณา .... (การเมือง)

Sunday, October 7, 2012

บรรทึกช่วยจำ MALEE


Malee - มาลี

ขอแจ้ง ณ ตรงนี้ก่อน ว่าผมมี  อาจทำให้เกิด Bias ด้วย

ที่จู่ๆ มาสนใจ 
ก็จากเสริมสุข ผมก็ได้มาสนใจธุรกิจขายน้ำ... เออ น้ำดื่มนะ ไม่ใช่น้ำอย่างอื่น

ก็มาดูมาลีหน่อยที่ผมสนใจนะ

  • แบนรด์ (มันเขียนยังไงว่ะ)
  • มีการเปลี่ยนแปลงภายในขึ้น ดูจากแกะรอยหุ้น เห็นว่าเจ้าของพยายามปรับแนวคิด ถายในแล้ว
  • สามารถลดการขาดทุน จนสร้างกำไรได้มาก (เห็นบอกว่าเมื่อก่อนนี้ ขาดทุึนเพราะโฆษณา มากเกินไป)
  • ผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นนามสกุลเดียวกับเครือ เซ็นทรัล ด้วย (หวังว่าจะเป็นโรงงานผลิตน้ำให้่เครือเซ็นทรัลนะ)
  • กำลังจะปันผลในรอบ 20ปี (พึ่งรู้ ที่ผ่านมา ไม่เคยปันผลเลย)
  • ถ้า รายได้ไม่ลด กำไรไม่ลด จะืำทำให้ราคาในช่วงนี้ (ต่ำกว่า100) ค่อนข้างถูก (มั้ง) PE10 
  • สร้างโรงงานเพิ่ม เห็นว่า กำลังการผลิต 90% เลย 
  • เห็นว่าเป็นเจ้าเดียวที่ขาย ผลไม้กระป๋องใน 7-11 ด้วย

Wednesday, September 12, 2012

-บรรทึกช่วยจำ, SSC

ssc - เสริมสุข 



เขียนเรื่อง story ไปก่อนล่ะกัน

ในอดีต เสริมสุข รับทำน้ำดำอัดลม จากเป็ปซี่โค โดยจ่ายเป็นค่าหัวเชื่อให้กับตัวเป๊ปซี่ แล้วก็ืทำมาเรื่อยๆ เกือบ 60ปี ที่ผ่านมา ก็มี M150 ที่มา่จ้างให้ทำการตลาดให้ และสร้างแบรนด์ให้ จนดังแล้วแยกตัวออกไป จากนั้นก็มี คาราบาวแดง มาทำต่อ จนดัง แล้วกำลังจะแยกวงใน ตุลา 55 ปีนี้เอง

ช่วงปี 54 มีเสี่ยเจริญ จาก ไทยเบฟ เข้ามาซื้อ กิจการทั้งดุ้น มีเรื่องมากมาย แต่ไม่พูดถึงล่ะกัน ไปหาอ่านเอง

และในช่วงนี้ ทำให้มีบางอย่างถูกเปิดเผยออกมา คือ เป็ปซี่โค เก็บค่าหัวเชื้อ 20% ของรายได้ เป็นอะไรที่เยอะมากๆ

ตามปกติ ในปี 51 52 53 จะมีกำไรประมาณ 2% ของกำไรขั้นต้น ซึ่งกำไรจากน้ำดำจริงๆ "คาดว่า ต่ำมากๆ" ที่เหลือเป็นกำไรจากน้ำไม่อัดลม (รายได้น้ำอัดลม ประมาณ 60-70% ของรายได่้ทั้งหมด)

ส่วนใหญ่ เสริมสุข มักไปเสริมสุขให้คนอื่นหมด ไม่ค่อยได้ทำแบรนด์ของตัวเองเลย เลยทำให้เสียค่าโง่มากนานเป็น 60ปี

ยกตัวอย่าง
Malee เพื่อนบ้าน อัตรากำไรสุทธิราวๆ 10% (คาดว่าจะเยอะกว่านี้ แต่ติดอะไรบางอย่าง อุบไว้ก่อน)
Oishi  อัตรากำไรสุทธิราวๆ  10% (กำไรจา่กการขายน้ำจริงๆ เยอะกว่านี้ แต่ติดกำไรจากอาหาร ทำให้กำไรสุทธิหดไป)
Cola โค๊ก  อัตรากำไรสุทธิราวๆ 15% มั้ง

SSC อัตรากำไรสุทธิ  1-3%  ทำให้เป๊ปซี่ ทั่วไทย
HTC อัตรากำไรสุทธิ 1-3%  ทำให้โค๊ก ภาคใต้

ตอนนี้ SSC กำลังจะออกมาทำน้ำดำเองแล้ว ก็ลองคิดๆ ทั้งแง่ บวก ลบ ดู


ประเภทหุ้น
อดีต
 หุ้นโตช้า (Slow growers) การเติบโตของกำไรจะสูงกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเล็กน้อย ประมาณ 2-4% ต่อปี  ให้ซื้อที่ PE ต่ำและหวังปันผลเป็นหลัก
จากการที่ขายน้ำดำให้เป็ปซี่ เลยไม่ค่อยโต 

ปัจจุบัน 
หุ้นโตเร็ว (Fast growers) บริษัทขนาดเล็กขนาดกลางที่มีอัตราการเติบโตที่สูงมากประมาณ 20 -25% ต่อปี เป็นหุ้นที่เหมาะจะถือในระยะยาว
ประเภทเริ่มฟื้นตัว (Turnarounds) บริษัทที่ประสบปัญหา แต่มีสัญญาณแห่งการฟื้นตัวที่ชัดเจน
มันกึ่งๆ โตเร็วแต่ไม่รู้นานแค่ไหน กับ ฟื้นตัว แต่มันก็ไม่ได้ประสบปัญหานะ แค่โดนดูดกำไรไปเท่านั้นเอง


เรื่องของสินค้า การซื้อการขาย ลูกค้า คู่ค้า

1 สินค้าที่ใช้แล้วหมดไป

สสารบนโลก ไม่มีทางหายไป แค่้เปลี่ยนรูปเท่านั้น
น้ำ ดื่มไป ก็ออกเป็น ฉี่ เอาเป็นว่า หมดไปล่ะกัน 555+ 

2 สินค้าทดแทน

น้ำอัดลม ไม่สิ น้ำหวานไปเลยล่ะกัน สินค้าทดแทน เยอะมากๆๆ ไปดูตามตู้เย็น ก็เต็มเลย 

3 สินค้าที่มีแบรน และคนซื่อสัตย์ในแบรนด้วย

เริื่่มทำแบรนด์ สินค้าเองแล้ว ทำให้ไม่สามารถ บอกได้ว่า แบรนด์จะดีหรือไม่ 

แต่สิ่งที่ผ่านมา ผลงานที่ผ่านมา ก็ทำ เป๊ปซี่ เป็น TOP ของน้ำดำได้ (ทั่วโลกมี เป๊ปซี่ ชนะโค็กแค่ 3 ประเทศ) M150 บาวแดงก็ด้วย ที่ เสริมสุขจัดให้
แต่อดีตไม่ได้การันตีอนาคตเสมอนะครับ

อำนาจในการต่อรองจากซัพพลายเออร์

อำนาจน่าจะสูงอยู่ เพราะเป็นรายใหญ่อยู่ ไม่ว่าจะเป็น น้ำตาล ขวด อะไรพวกนี้ (รู้สึกมี บริษัทย่อยทำอยู่นะ)

อำนาจการต่อรองจากลูกค้า

อำนาจเต็มที่ เนื่องจาก เสริมสุข เป็นคนนำน้ำ สินค้าไปลงตาม โชว์ห่วยต่างๆ (น่ากลัวเรื่องโชว์ห่วยเจ็ง แต่คงได้อีกสัก 10 ปี) เอาอะไรไปส่ง ก็ต้องรับหมดล่ะ 555 โหดขิงๆ 

เรื่อง โชว์ห่วยเจ็ง แข่งขันไม่ได้ มันจะเกิดขึ้นแน่นอน แค่ เมื่อไหร่ แล้วเสริมสุขจะทำยังไงต่อ ต้องดูกันต่อไป

การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม

แรงค์ !!! 


การเข้ามาแข่งขันของผู้เล่นรายใหม่

ใครๆ ก็เข้าได้ แต่ปัญหาคือ อยู่ไม่ค่้อยมากกว่า ก่อนหน้า บิ๊กโคล่า ก็มีน้ำดำเข้ามาแข่ง 2 ยี่ห้อ (จำไม่ได้ล่ะ) สุดท้ายก็เจ็งไป แต่บิ๊กโคล่า รอด แล้วแข่งได้ดีด้วย เก่งจริงๆ 

ส่วนเรื่องเสริมสุข ที่จะเข้ามาเล่นเอง ก็มีโอกาสอยู่ ทั้งในเรื่อง ขนส่ง โฆษณา บริษัทที่ใหญ่ ส่วนแบ่งตลาดจากเป็ปซี่ที่หายไป (ก๊ากกก) และ เสี่ย จ. หนุดหลังอยู่ 

8 วัตถุดิบ การสินค้าโภคภัณฑ์

น้ำตาล ก๊าซคาร์บอน ขวดแก้ว ขวดพลาสติก ฝาจีบเหล็ก เวอร์ม่ะๆ 

9 โอกาสการเติบโตของสินค้า บริการ

โอกาส ก็เรื่องของการทำน้ำดำเอง ซึ่งก็ไม่รู้จะดีไม 

SWOT analysis
การวิเคราะห์บริษัทสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอกและสภาพแวดล้อมภายใน
- Strengths  จุดแข็ง
การขนส่ง ทั่วประเทศ การที่มีโชว์ห่วยเป็น พัธรมิตร (แต่ต่อไปก็ต้องดูอีกที่) 
บริษัทขนาดใหญ่ มีโรงงาน 5 โรง หลักๆ 
แทบไม่ต้องลงุทนอะไรเพิ่มเลย เพราะลงทุนไว้ทั้งประเทศแล้ว (ใช้กำลังการผลิต 60%)

- Weaknesses  จุดอ่อน
ไม่เคยทำแบนด์ของตัวเองมาก่อน
บริษัทที่ ใหญ่ ทำให้การเปลี่ยนแปลงลำบาก (แต่เท่าที่เห็นก็กำลังเปลี่ยนอยู่นะ)
ผบ ถือหุ้นน้อย (เพราะขายให้ ไทบเบฟ เยอะ) 

- Opportunities  โอกาส
ถ้าทำแบรนด์ได้ ก็สนุกสนาน 

Threats  ความเสี่ยง 
ถ้าแบรนด์ไม่ขึ้น ชิบหาย


เรื่องของตัวบริษัท งบการเงิน

ไม่พูดถึง เพราะบริษัทกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่

ส่วนที่น่าสนใจ ก็คือ กำไร 
รายได้จากน้ำดำ ราวๆ 65% 

ปี 53 (ปี54น้ำท่วม เลยไม่เอาดีกว่า)
รายได้ทั้งหมด 22,176 ล้านบาท 
รายได้จากน้ำ 21,977 ล้าน
แบ่งเป็นรายได้่จากน้ำอัดลม 15,703 ล้าน และรายได้น้ำไม่อัดลม 6,274 ล้าน
กำไร 468 ล้าน
อัตรากำไร 2.11% 

ปีนี้รายได้ครึ่งปี 12,940 ล้าน
รายได้่จาก น้ำท่วม 60 ล้าน 
กำไรเพิ่มจากการลดค่าใช้จ่า่ยๆต่างๆ 
กำไร 859 ล้าน ตัดกำไรพิเศษก็เหลือ 800 ล้าน

คาดเต็มปี สมมุติ เป็ปซี่ยังไม่ไป (เป๊ปซี่ไป 2 พฤจิกายน)
ทั้งปี 25,000 ล้าน 
กำไร 1600 ล้าน 
อัตรากำไร 6.4% 

ข่าว (ไม่ชัวร์) ส่วนแบ่งกำไรกับ เป๊ปซี่โค 20% ถูกลดลง ก่อนจะยกเลิกสัญญา เหลือ 8% 
แสดงว่า รายได้ทาง น้ำดำ ต้องโตทันที 12% ของยอดขาย 
รายได้ 15,703 ล้าน จะได้กำไรที่เพิ่มขึ้น 1,884 ล้าน เกินกำไรที่คาดซะงั้น

เอ้า แล้วมันยังไง สงสัย ข่าวไม่ตรง 555+

คิดเองล่ะกัน เดียวว่า ยุยง ส่งเสริม ให้คนไปติดดอยอีก 
เดียวนี้เขากำลังเพ็งเล็ง เวปแนะนำหุ้นอยู่ 

ปล. อย่าไปปั่น แล้วเอาผมไปอ้างนะ ผมไม่ได้ แนะนำอะไรเลยนะ

                    

Saturday, August 25, 2012

ย้อนรอยตำนาน VI ไตรมาส 2/2555 (ดร.นิเวศ)

ตลาดหุ้นไทย ในตอนนี้น่าจะเข้าสู่ยุคทองแล้ว 

อย่างตลาดหุ้นอเมริกา ก็มียุคทองของมัน ขึ้นตลกเกือบ 10ปี หลังจากนั้น ก็นิ่งเลย
ที่ญี่ปุ่น ก็เคยไปถึง 40,000จุด ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 9,000จุด

คนเริ่มมีเงิน ก็เริ่มเข้ามาซื้อหุ้น พอถึงจุดที่คนเริ่มแก่ตัว ก็เริ่มขายกัน

คิดว่าจังหวะนี้ หุ้นกำลังดี อาจจะเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเลยก็ได้ 

ตอนนี้มีแต่เด็กๆ ถ้ามีแต่คนแก่ ก็มักเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์

เด็กเยอะจะเป็น อนาคต คนแก่จะเป็น อดีต 

จะไปคุยกับคนอื่น ที่ชำรุดแล้วก็ไม่ได้ คุยกับลูก ก็กลัวไม่รู้เรื่อง

จะว่าไป ลูกผมก็ไม่เคยลงทุน แต่ที่เคยบอกหุ้นอะไรมา ทุกตลอด อย่าง Google Apple Sara 

การลงทุนภาพใหญ่ ใช้ sense มากกว่า

เดียวนี้ไม่ค่อยวิเคราะห์หุ้น แบบลึกซึ้งแล้ว เห็นเด็กสมัยนี้ เก่งมากเลย

Q ธุรกิจที่ขายคอม มือถือ เป็นบริษัทที่ชำรุดทางประวัติศาสตร์ไปหรือยังครับ

A ผมก็ดูอยู่ (ฮาเลย)

เรื่องสินค้า High Tech ดูยาก อย่าง Apple ก็เกือบตายตอนที่ สตีบจ๊อบไม่อยู่

โอกาสที่คอมจะกลับมา หรือมีแบบใหม่ ก็มี

Q ธุรกิจ รับเหมาก่อสร้าง เป็นอย่างไร (เห็นรัฐบาลให้งบเยอะ) 

A พวกนี้มัน เนรมิคออกมาไม่ได้ ต้องสร้างกัน แต่ก็มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดเวลา ทุกบริษัทก็ใช้ได้หมด แต่ดูราคาต่ำไปหน่อย อย่างบริษัทแต่ละบริษัทก็ด้วย คู่แข่งจำกัด งานเยอะ แต่มักเป็นธุรกิจสีเทา

ธุรกิจสีเทาพวกนี้ มักมีเรื่องตกใจเสมอ แต่บางครั้ง ก็อยากลองเล่นบาง
คนก็มีบาปกันทั้งนั้นล่ะ อย่างธุรกิจฆ่าสัตว์ มันบาป เอ็งก็อย่ากินเนื้อสิ
มันต้องมีคนทำ ไม่งั้นก็ไม่มีกิน

ความโลภ มันก็มีกันหมดล่ะ แต่ใช้ยังไงเท่านั้นเอง
สุดท้าย ความโลภก็จะไปปูดทางใดทางนึงเท่านั้นเอง
อย่าง ฮิตเลอร์ ก็เป็นคนดี แต่ความโลภดันไปปูดเรื่องยึดครองโลก 
อย่างพระ ก็ดันโลภมากเรื่องทำความดี 

ผมเลยกระจายความโลถ ไปทางเหล้านิด เงินหน่อย จะได้ไม่ปูด
ความโลภทำให้คนอยู่ได้ 
อย่างความสุข ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ดันเป็นประเทศจนๆ 
เงินไม่ใช่ความสุข แต่เป็นตัวทำให้เกิดความสุขได้ง่ายขึ้น

Q VI สายดำนี่ ต้องควบคุมอารมณ์ ความโลภ จะจัดการยังไง 

A ต้องเข้าใจว่า ถึงวันนึง มันก็จะจบไป เหมือนดารา 

อย่างเรา 10ปี ได้เยอะมาก ก็ต้องเข้าใจว่าเป็นช่วงของเราพอดี

วิธีเก่าๆจะริ่มไม่ดี ก็ต้องเปลี่ยนแปลง
วิธีนึง ในสภาพแวดล้อมนึง เวลานึง ก็จะดี

Q Modern Trade ยังดีไหม

 A มันเป็น Mega Trade จริงๆ สังคมไทย ยอมรับแล้ว แล้วเป็นเวลายาวนาน จนกว่าคนทั้งหมดจะเปลี่ยนมาใช้บริการ Modern Trade นะครับ
อย่างถ้าไปต่างประเทศ ยังไงก็เจ็ง เพราะยังไม่ถึงขั้น (หมายถึง เพื่อนบ้านน่ะ) 

รายได้คนไทยมันเพิ่มเร็ว คนชั้นล่างก็ค่อยๆมีเงินมากขึ้น สุดท้ายมันก็ต้องไป 
คนชั้นกลางจะมากขึ้น ความต้องการก็มาจากคนกลุ่มนี้ล่ะ

Q เศรษฐกิจ ในไทยดี แต่ต่างประเทศแย่ มองยังไง

A คนตกงาน ไม่ค่อยมี ต่างประเทศเกิดเรื่อง แปปๆก็หาย 

เคยคุยกับฝรั่งที่ทำกองทุนในไทย บอกว่า ไทยจะบูม เพราะคนต่างประเทศ พยายามเอาเงินมาฝากลงทุนในไทยกัน  หรือว่ามันจะระเบิด (ขึ้นไปอีก) เพราะทุกอย่างสุดยอดไปหมด เศรษฐกิจดี รัฐบาลดี เป็นมุมมองของ กองทุนนะครับ

แต่พอไปอ่านของคนไทย บอกว่า จะตายแล้ว เลยงง ฟังหูไว้หู

เพราะบางอย่าง คิดว่าโตจนตันแล้ว ยังไปได้อีก 
อย่าง mama จู่ๆก็ขึ้นมาเฉยๆ 
S&P จู่ๆ ก็โต
MBK ก็ขึ้นเฉย

สุดท้ายก็ไม่รู้ แค่ไม่ลงก็สบายใจแล้ว ขอให้ ผบเก่ง ดี ธุรกิจธรรมดาก็วิ่งได้

ถ้าอยู่กับหุ้นที่โดดเด่น โอกาสชนะ ทำกำไรได้ก็มีอยู่แล้ว

Q พอร์ท ดร เป็นยังไงบ้าง

A ก็ Super stock มันมีน้อย แต่ปริมาณมาก ที่เหลือเล็กๆ เป็นหุ้นพัธรบัตร 
บางทีหุ้นพัตรบัตรก็ดี แค่เหงาๆหน่อยเท่านั้นเอง 

Q สินเชื่อเป็นไงบ้าง

A เวลาเศรษฐกิจดี กำไรก็สูง แล้วธุรกิจก็จะดี ไปจนวันเจ็ง (NPL) 

อย่างก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ก็โต 6-7% เลย แค่ 6 เดือน ถล่มเลย

งิกฤตไม่เคยซ้ำของเก่าเลย อย่าเลย์แมน ก่อนพัง ก็ได้ AAA 

2 ปีก่อน สเปน ก็ได้ AAA บ้านเรา B ตอนนี้เป็นไง

ผบ ดี เก่งแค่ไหน ก็ช่วยไมได้ ถ้าบริษัทเจ้ง
ตอนดีๆ พูดอะไรก็ได้ เหมือนคนรวยพูดอะไรก็ถูก

Q ธุรกิจดี ผบห่วย กับธุรกิจห่วย ผบดี เลือกอะไรดี

A ไม่เคยเห็น ธุรกิจดี แล้ว ผบ ห่วยนะเพราะอะไรก็ดีไปหมดเลยล่ะ
ถ้าธุรกิจห่วย ผบก็ห่วยหมดล่ะ ให้ดูบริษัทดีกว่า 

Q BJC SSC OISHI มีความเห็นว่าอย่างไร 

A เจ้าของเดียวกันหมดนิ 
รู้สึก ยุคนี้ เจ้าของมี power สูงมาก ทำให้หุ้นวิ่งแรง
อาจเป็นข้อดีก็ได้ เพราะ3 ตัวนี้ flee float ต่ำ 
เหมือน ยาจกในบ้านเศรษฐี อะไรนิดหน่อยก็รวยตามกัน
(ว่าผมซะงั้น T^T )
คนคิดแบบนี้ เห็นตัวอย่าง เลยเข้าไป ดันราคาขึ้น พอราคาขึ้น อะไรก็ดีไปหมด

BJC น่าห่วงสุด เนื่องจากเป็นลูกหลาน อาจจะพลาดได้ง่าย เพราะอาจคิดว่า แค่มีเงินก็ทำได้ทุกอย่าง 

การเข้าไปสู้กับอุตสาหกรรมที่โต ถ้าไม่ชนะ ก็ตายหมด อย่างคอมพิวเตอร์ คนที่ตายเต็มเลย

เดียวนี้ชอบอ่านหนังสือสงครามมาก 

คุณจะใหญ่ จะเก่งมาจากไหนไม่สำคัญ ต้องดูที่สนามรบ

ความน่ากลัวเรื่อง ผบ จะลุยต่างประเทศ เพราะเท่าที่เห็น ก็ยังไม่มีบริษัทไหนสำเร็จเลย 

แต่ละที่มันก็ รบไม่เหมือนกัน อย่างสงครามเวียดนาม สหรัฐว่าเก่งๆ ก็แย่เลย 

เรื่อง AEC ก็อย่าพึ่งไปรีบ รอให้เห็นก่อนแล้วค่อยว่าอีกที

Q คู่แข่งค้าปลีก ฟัดกันแรงมาก 

A สุดท้ายก็ยังแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก ตลาดสดอยู่ดี ก็ยังโตได้อีก จนกว่าจะเหลือแค่ ค้าปลีกอย่างเดียว

Q คู่แข่ง ค้าปลีกวัสดุล่ะ 3 ตัว

A มีชนกันบ้าง แต่ต่างคนก็ต่างไป ยังพอไปได้อยู่ 

Q ค่าแรงปรับขึ้น แนวโน้มคนจะจ่ายอะไรมากขึ้น

 A มันก็มีสัดส่วนอยู่แล้ว เครื่องประดับ รถ IT มันก็มีอยู่ ลองไปหาดู

Q ชิ้นส่วนรถ ปีนี้งานเยอะ ปีหน้าคิดว่าจะลง ทำไง

A แน่นอน เดียวขึ้น ก็ลง เดียวลงก็ขึ้น ก็ใช้เวลาเป็นปีๆ อย่างอุปกรณโตมาก ก็กำไรไม่มาก เพราะโดนบีบ แล้วก็ต้องมีการลงทุนอีก ทำให้โตยาก 

Q รถยนต์จะมาผลิตในไทยมากขึ้น 

A แน่นอน แล้วคงนานด้วย แต่ชิ้นส่วนก็ไม่แน่ เขาสามารถหาที่ผลิตถูกกว่า ที่ไหนก็ได้ ต้องแข่งกันถูก 
ยิ่งบูมยิ่งโต ยิ่งย้ายฐานการผลิต แต่ ชิ้นส่วนรถยยนต์ ไม่มี DCA เครื่องจักรก็เหมือนกัน ค่าแรงก็เท่ากัน ต้นทุนก็พอกัน ไปไกลไม่ได้

Q ปีนี้คนซื้อรถมาก ปีหน้าจะมีปัญหาไม 

A ถ้าเศรษฐกิจ ยังดี ก็ไปได้ ก็เหมือนที่บอก ถ้าแย่ NPL ก็เกิด เจ็งกันหมด

Q มีการศึกษาหุ้น AEC ไม

A เมื่องไทยยังไม่ศึกษาเลย แต่คิดว่าในที่สุด ก็คงอยู่แค่เมืองไทยไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องออกไปซื้ออยู่ดี 
รอให้มาก่อน แล้วค่อยศึกษาจะดีกว่า


ขอบคุณ ดร นิเวศ มากครับ ที่มาให้ความรู้ มุมมองต่างๆ แล้วเขียนบทความที่มีคุณค่านะครับ

ย้อนรอยตำนาน VI ไตรมาส 2/2555 (Gobkung)

ของจริงครับ
http://pongsakorne.blogspot.com/2012/08/growth-stock.html 


ก็ เข้าเรื่องเลยนะ

คุณ พงศกร เอื้อชวาลวงศ์ หรือที่เรารูจักกันในนาม Gobkung เจ้าของ Mind Investing Blog

เริ่มต้นจากการเข้ามาในตลาด เพื่อหาผลตอบแทนที่มากกว่า จนกระทั่งมากเจอ Thaivi 

มอง ธุรกิจที่เติบโต เป็นหลัก เพราะสร้างผลตอบแทนให้ระยะยาว โดยเนื้อหาทั้งหมดคือ

  • อนาคตมีความสำคัญกับ ธุรกิจยังไร เป็นเพื่อน เป็นศัตรู หัดมองอนาคตไว้ 
  • ดูพฤติกรรมลูกค้า ดู Business model ว่าเป็นอย่างไร
  • การคัดเลือกของธรรมชาติ โดยปกติธรรมดชาติ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด จะอยู่รอด ที่เหลือ ตาย ความแข็งแรงของธุรกิจก็เหมือนกัน 
  • การเลือกหุ้น (สำหรับคนที่ไม่มีเวลาว่างมาก ทำงานประจำ)
  • การเติบโตยังไง ช่องทางต่างๆ อะไรคือการเติบโต 
  • การพัฒนาตัวเอง
VI คือการที่ ซื้อหุ้น จากธุรกิจ (เป็นหุ้นส่วนในธุรกิจ) และซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่า มีupside

การซื้อหุ้นเติบโตดูจากตัวบริษัทเป็นหลัก แล้วค่อยดูราคา (MOS)
ไม่ใช่แค่หุ้นถูก ต้องดูว่า โตหรือไม่ 
ให้ดู ความสามารถในการเติบโต มากกว่าดู PE 

โครงสร้างทางความคิด แต่ละคนจะรู้อย่าง ไม่รู้อย่าง

มาถึงตอนนี้ พี่เขาบอกไม่ต้องจด เพราะมีแจกใน บล็อค เหอะๆ 

หุ้นมี 6 ประเภท คือ 
  • โตช้า , แข็งแรง , โตเร็ว
  • turn around , asset play , วัฎจักร
หุ้นเติบโต อาจเป็นหุ้นปันผลก็ได้ เป็นหุ้นวัฎจักรก็ได้ (แต่ขาลง ตัวใครตัวมัน)
หุ้น turn around ก็อาจเป็นหุ้นเติบโตได้ (เปลี่ยนธุรกิจ)
หุ้นวัฎจักร ขาขึ้นเป็นได้
Asset Play ก็เหมือนกัน 

ดังนั้นอย่าคิดว่า หุ้นชื่อนี้ ต้องเป็นหุ้น เติบโต

หุ้นเติบโต เป็หุ้นที่มองไปอนาคต ไม่ใช่ปัจจุบัน โดยต้องมองทั้ง คุณภาพ และ ปริมาณด้วย
asset play , ปันผล เป็นหุ้นที่มองในปัจจุบัน

อย่าไปดู PBV มาก ให้ดูว่า เติบโตหรือเปล่า ถ้าใช่ หุ้นตัวนั้นคือหุ้นเติบโต
(PBV ไว้ดูเวลาหุ้นจะเจ็ง หุ้นโตเร็วคงไม่เจ็งหรอนะ)

การดูหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโต ไม่ใช่ดูที่ PE แต่ส่วนใหญ่หุ้นที่เติบโต PE มักสูง 
PE เป็นการใช้ดูมูลค่าเฉยๆ 

ทำไมต้องลงุทนหุ้นโตเร็ว
  • ถือระยะยาวได้ ไม่ต้องมาเฝ้าจอ และชนะตลาด
  • ไม่ต้องเชียร์ เพราะจะมี driver ต่างๆ ด้วยตัวมันเอง
  • ไม่ว่าจะ VI สายไหน ก็ต้องเข้าใจ หุ้นเติบโต
  • ควรจะมีติดพอร์ทไว้เสมอ
ถ้าจะซื้อหุ้นซักตัวทำไงดี
  1. รอวิกฤต 
  2. หาหุ้นที่เติบโต และรอซื้อเมื่อมี MOS จากนั้น เก็บยาว จนมันไม่โต
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า VI = PE PBV ต่ำๆ 
อย่างน้อย ไม่มี MOS  แต่ถ้ารู้ว่า บริษัทดี ก็จะได้กล้าซื้อ 

การลงทุนในหุ้น เป็นการมองอนาคตโดยตรง เพราะคนที่ซื้อเพราะอนาคตทั้งนั้น ทั้งสั้น ทั้งยาว โดยหวังส่วนต่าง ซึ่งคือการคาดการณ์อนาคตทั้งสิ้น

อนาคต คืออะไร
  • อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ได้เลย บางครั้งถูก ก็เป็นเพียงความโชคดีเท่านั้น
  • คนมักฟังอนาคตจากเซียน เพราะคนมักกลัวในอนาคตที่ตัวเองคาด
  • ที่ต้องเข้าใจคือ พื้นฐานกิจการในอนาคต คิดหลายๆแบบ ทั้ง แย่ ปานกลาง ดี เผื่ออนาคตไว้
  • ส่วนใหญ่ก็มักเก็งกำไรรายไตรมาส สุดท้ายก็ sell on fact (แต่ถ้ากำไรตก ตัวใครตัวมัน)
  • ไม่ว่าจะเป็นการซื้อดักงบ opp day visit ก็เป็นการทำนายอนาคตทั้งนั้น
คำแนะนำ
  • อนาคตเป็นเรื่องของความน่าจะเป็นมากกว่า มองโอกาส ความเสี่ยง 
  • เลิกเชื่อคนอื่น จนกว่าจะคิดเองได้
  • มองเห็นปัจจุบัน จนอนาคต ด้วย ปัจจัยภายนอก ภายใน trend ของคน การวิเคราะห์ ทั้งปริมาณ และคุณภาพ
  • MOS และกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม
  • ต้องเข้าใจว่า ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ใช้นิ่ง ต้องประเมินไปด้วย (รายปี)
  • ไม่คิดถึง ราคาเป้าหมายหุ้น แต่มองเป็นช่วงราคาดีกว่่า (ไม่กำหนดราคาเป้าหมายเป็นตัวเลข)
  • เวลาเป็นสิ่งมีค่า เปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่าง อย่างมีเหตุและผล
  • ต้องรู้เหตุปัจจัยให้มากที่สุดจะทำให้ทำนายอนาคตได้แม่นยำ (แต่ขนาดนิวตันยังติดดอย) 
  • เมื่อเวลาบวก ธุรกิจที่ดี จะกลายเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม
  • ทักษะ ความอึด อดทน
  • ตลาดมักให้หุ้นที่ดี เติบโต PE สูง แต่ไม่แน่เสมอไป 
  • ซื้อหุ้นที่เติบโต แพงไป ย่อมไม่ดี 
เช่น หุ้น A โต 5% ใช้เวลา 10 ปีถ้า PE เท่าเดิม ก็จะได้กำไร 63% 
หุ้น B โต 20%  ใช้เวลา 10 ปี กำไรจะโต 615% 
กรณี PE คงเดิม ก็จะได้ 515% 
กรณี PE ลดลง กำไรที่จะได้ลดลงเหมือนกัน
กรณี PE ตอนซื้อ แพง กำไรก็ลดลงเหมือนกัน

สำหรับหุ้นเติบโต เวลาเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ ยิ่งนาน ยิ่งเสี่ยงน้อย 
แต่หุ้น turn around cycle ถือยาวไม่ได้ 

การมองก็ต้องมีระยะที่เหมาะสม อย่าง TV มองใกล้ก็เห็นเป็นสี่เหลืยมๆ อย่างเชื้อโรค ก็ต้องมองผ่านกล้อง
การมองธุรกิจ ก็ต้องเห็นการโตที่ชัดเจน ต้องมองตามที่เราคาดการณ์ได้ แนะนำให้มองเป็นปีๆ 

ให้หาบริษัทที่มีอนาคต หลายๆคนมักมองอดีต การมองงบการเงินอาจจะช้าไป ให้เราคาดการณ์ไว้ก่อน แล้วค่อยดูงบการเงินเป็นตัวยืนยันที่หลัง

การดูว่าธุรกิจไหนจะเติบโต ดูจาก
  • การใช้ชีวิตของผู้คน
  • ดูประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศที่เหลือ มักจะตามๆกันไป
  • ดูเรื่องของการจิตนาการเป็นหลัก
  • ต้องรู้ในธุรกิจพอสมควร
  • ดููการเติบโตด้วยว่ามีไม  แล้วอยู่ช่วงไหน จุดเริ่มต้น ต่อเนื่อง จุดอิ่มตัว
  • ดูปัจัยภายนอก ภายใน
  • พฤติกรรมมนุษย์ เป็นไง ดู supply Demand เช่น คนเดินห้าง ดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ มือถือ กล้องดิจิตอล
  • การต้องการ จะเริ่มจาก คนนึงสร้างความต้องการ จนคนเริ่มตามๆกันมา สุดท้ายเหมือนสังคมต้องการ จะกลายเป็น trend 
ความต้องการของมนุษย์
  • ปัจจัย 4 อาหาร บ้าน เสื้อ ยาโรงบาล
  • เป็นที่ยอมรับ (ธุรกิจ ความงาม แฟชั่น แบรนค์)
  • ค้นหาตัวเอง พัฒนา หนังสือ Social network 
  • ความง่าย สะดวก
  • เป็นกลุ่มๆ ตามกันไป
  • ราคาถูก ถูกที่ใจนะ 
  • สะดวก ทันใจ
  • หนีความทุก
  • เข้าหาความสุข
ดูตัวเอง คนใกล้ตัว รอบๆตัว คนที่ประเทศพัฒนาแล้ว 

คนมักไม่รู้ว่า ตัวเองต้องการอะไร

การดูธุรกิจ ที่เติบโตให้ดูทั้งแต่ ผู้บริหาร ทั้งระบบ End product สายพาน
ถ้าบริษัท ไม่มีแรงจูงใจ เฉยๆ ก็เน่า 
ถ้าบริษัท ไม่มีความสามารถในการแข่งขัน ก็เน่า 

Mega Trend
  • AEC 
    • การขยายตลาด โอกาศของธุรกิจที่มีความสามารถ
    • โอกาสไปลงทุนประเทศกำลังพัฒนา 
    • การเติบโตของ Logistis 
    • แรงงานราคาถูก 
    • การย้ายฐานการผลิต
    • ไทย ก็จะมี การท่องเที่ยว การแพทย์ ศุนย์กลางการขนส่ง ที่น่าสนใจ
  • สังคมคนแก่ 
  • ผู้หญิง มีรายได้ มีกำลังซื้อสินค้า 
  • จีน อินเดีย เอเชีย
  • คนย้ายมาอยู่ในเมื่องมากขึ้น
  • คนแต่งงานน้อยลง มีลูกน้อย ให้ลูกอยู่ดีกินดี
  • พลังงาน พลังงานทางเลือก(โดนบีบ)
  • Modren Trade 
  • internet ,E-com,Socal network
  • Logistis , ขนส่ง ต่างๆ
  • อาหาร ที่มีคุณภาพสูง เพื่อสุภาพ
  • ชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น (ใช้ชีวิตดีขึ้น)
  • คนสนใจลงทุนกันมากขึ้น
การหาธุรกิจเป็นะระบบ
  • ต่อยอด Mega trend
  • แน้วโน้มต่างๆ เช่น 
    • smart phone ก็จะเป็น ธุรกิจ สัญญาณ ชิ้นส่วนโทรสับ ขาย บริการอินเตอร์เน็ต App E-com 
    • คอนโด ก็จะเป็น คอนโด วัสดุ BTS เฟอร์นิเจอร์ น้ำ ไฟฟ้า อินเตอร์เน็ต
  • คิดเชิงระบบ (ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง)
ต้องดูด้วยว่า รายได้ ต่อ รายได้ที่โตด้วย (อย่างรายได้ของบริษัทที่โตเยอะๆ เป็นส่วนเล็กๆของรายได้ที่ไม่โต)

เรื่อง ผู้บริหาร 
  • แรงจูงใจให้โต ผลประโยชน์ (ถ้าถือเกิน 50% ก็น่าสนใจ)
  • ซื่อสัตย์ ตรวจสอบประวัติการทำงาน ข้อมูลที่ให้ต่างๆ
  • ความสามารถ แนวคิด วิสัยทัศน์ ผลประกอบการ
หุ้น IPO มี 4 แบบ
  1. อิ่มตัว เข้ามาเพื่อหาที่ออก
  2. เพื่อทุนอยากโต
  3. หลอกเอาเงิน
  4. เพื่มทุนเพราะอยากฟื้น
ดูปัจจัยต่างๆ 
  • ทุนนิยม 
  • Demand Trend  
  • การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี 
  • การพัฒนาสินค้าทดแทน ที่ดีกว่า หรือถูกกว่า
  • ความสามารถในการแข่งขัน การปรับตัว 
  • มาตราการ นโยบายต่างๆ 
  • ปัจจัยภายนอก สภาพแวดล้อม Demand 
  • ปัจจัยภายใน DCA ต่างๆ
  • การเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการ ยิ่งมาก ยิ่งดี margin จะสูง
กำไรมาจากไหน 
รายได้ - รายจ่าย = กำไร 

ลองดูขนาดตลาดโดยรวมว่าโตไม 
ส่วนแบางการตลาด แย่งได้ไม 

พยายามหา บริษัท ที่ตลาดโต และ market shard สูงขึ้น (แย่งลูกค้าได้)

หาบริษัท ที่อุตสากรรมไม่บูม จะได้หาได้ (ที่บูมมันแพง)

ดู 56-1 คู่แข่ง คนใกล้ตัวด้วย

การออกสินค้าใหม่ การขึ้นราคา

ต้นทุนที่ลดลง ต้นทุนต่อหน่วยที่ลดลง 

กำไรเพิ่มขึ้นจาก
รายได้เพิ่ม ต้นทุนเพิ่ม ในสัดส่วนเท่ากัน NPM จะเท่าเดิม 
รายได้เพิ่ม ต้นทุน เพิ่มน้อยกว่า NPM จะสูงงขึ้น
รายได้เพ่ิม ต้นทุนลด ยิ่งดี

ความสามารถในการแข่งขัน 
  • อุตสาหกรรม ที่แข่งง่าย ก็จะเข้ามากันเยอะ แต่ถ้าแข่งยาก ก็จะไม่ยอมออกกัน 
  • ดังนั้น หาธุรกิจ ที่มี DCA ทำได้ดีกว่าคู่แข่ง 
  • DCA Brand ต้นทุนต่ำ ฝ่ายMarketing เก่งกว่า
  • ขายเร็ว turnover rate สูง 
  • ทีมวิจัยชั้นเลิศ ไม่ตามคนอื่น
  • คุณภาพสินค้า บริการที่ดี
  • มี Commecting กับลูกค้ามานาน
การประเมิน งบการเงิน เป็นการประเมินในอดีต 
ธุรกิจที่ดี Margin สูง ขายได้เยอะ 

กาดูงบ ให้ดู
  • การเติบโต 
  • คุณภาพการเติบโต
  • กระแสเงินสด 
  • ความแข็งแรงของงบ
  • การเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน
  • ดูความน่าเชื่อถือด้วย (ดูคอมเม้นของคนรายงานบัญชี)
  • ดูรายได้โตไม เพราะอะไร
  • ต้นทุนเพิ่ม เพราะอะไร
  • กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้นไม
  • คูณถาพของกำไร GPM 
  • การหมุนสินค้า DeadStock
ROE ให้ประเมิน Forward ROE ให้ดูเทียบกับธุรกิจที่ใกล้เคียง คู่แข่งดู
ROE สูง ไม่ใช่คำตอบเสมอไป ต้องดูการเติบโตของกำไรด้วย ถ้ากำไรแต่ปันผลหมด ROE ก็สูงแต่ไม่โต 
อาจให้ ROTC ด้วยก็ได้ 
ROE ควรมากกว่า 15% 
กำไรจะเพิ่มจากส่วนทุนที่้เพิ่มด้วย 

การตรวจกระแสเงินสด
ดูว่า รายได้เพิ่มจากไหน กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ควรเป็น บวก 
ในช่วงแรกของการลงทุน เงินลงทุนอาจจะ ติดลบมาก ทำให้ดูแย่
ดูโดยรวมว่า กู้ได้ไม มีเพดาน ดูหนี้ต่างๆ ระวังเรื่องการเพิ่มทุน 
เทียบดอกเบี้ยระยะสั้นกับ กระแสเงินสดด้วย
ควรให้ D/E น้อยกว่า 1 มีเพดานกู้ มีหนี้ไม่มีดอกก็ดี

ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง รายได้ รายจ่าย การลดต้นทุน GPM 

ไม่แนะนำให้ดู PBV  ให้ดูกระแสเงินสดดีกว่า

สมุมุติ ต้นยาง เป็นหุ้น 
ราคาไม้ยาง คือ BV 
ราคายางคือ กำไร
การดูกำไรควรดูเวลาทั้งหมดที่ทำได้ 
อย่างยาง กำไรที่ทำได้ คือ ช่วงเวลาที่กีดยางได้ ส่วน BV จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามขนาดต้น 

ไม่แนะนำ PE เพราะตลาดมองสั้นๆ 
DCF จะดีกว่า แต่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายแล้วรุนแรง ถ้าตัวแปรคลาด
มือใหม่ควรจะฝึกทำให้เป็น

PE สูงเมื่อกำไรในอนาคตสูง กระแสเงินสดที่หาก็จะได้สูงด้วย
บริษัทที่ใช้เงินลงทุนน้อย ดีกว่า 
PE ที่สูงจะทำให้ผลตอบแทนต่ำ
การลดภาษี
การลดดอกเบี้ย (อันนี้บอกยาก)

การค้นหาหุ้นเติบโต
  • เป็นตัวของตัวเองเวลาหา ฝืนกระแสสังคม 
  • อยู่ในอุตสหากรรมใหม่ๆ ที่ต่างประเทศมีแล้ว แต่เรายังไม่มี
  • อยู่ในอุตสหกรรม เก่าแก่ แต่พฤติกรรมมนุษย์เปลี่ยน เช่น เครื่องประดับ ขนมปัง
  • กำไรในงบการเงิน (คมมักดูกำไรสุทธิ)
  • หุ้นปั่น บางครั้งเป็นหุ้นเติบโต 
  • ค้นหา Super stock ที่ยังไม่มีใครเห็น
ความเสี่ยง
  • ซื้อหุ้นที่แพงเกินไป
  • เติบโตเร็วจนคุณภาพไม่มี เช่น คนงานต่างๆ
  • ตลาดหมี (ตลาดกด PE)
การมองจุดซื้อขาย
พยายามมองเป็นช่วงๆ อย่ากำหนดจุด จำลองเหตุการณ์ต่างๆ

มอง ทางออก ก่อน ทางเข้า

เวลาซื้อขาย ซื้อเพราะเติบโต ขายเพราะ ไม่โต แพง แล้ว เจอตัวใหม่ที่ดีกว่า

Mr,market 
  • อย่าประมาณนายตลาด
  • ระวัง EMH อย่ามองว่าราคาถูกมาแล้ว อีกนาน
  • กำไรระยะสั้น ยาว
  • ตลาดมักมีจุดบอดเสมอ มักมีหุ้นที่ถูกมองข้ามเสมอๆ
เรื่องของจิตใจของมนุษย์
ลักษณะของมนุษย์ 
เวลาตัดสินใจอะไรไวๆ มักใช้สัญชาติยานเอาตัวรอด แต่การซื้อขายหุ้น ต้องตัดสินใจโดยใช้เหตุและผล

Bias 
  • มั่นใจมากไป
  • การคิดย้อนหลัง แล้วคิดว่าทำนายอนาคตได้
  • เทียบตัวเลขในอดีต
  • การไปตามฝูงชน 
  • กลัวการขาดทุน กำไรรีบขาย แต่ขาดทุนถือยาว
คำแนะนำ
  • ไม่ต้องเผ้าจอ ไม่ตามข่าว ไม่เชียร์
  • เป็นนักฟังที่ดี
  • อ่านแล้ววิเคราะห์
  • เป็นนักเขียน ที่มีเหตุผล มีหลักฐาน
  • ฟังอ่าน หาข้อมูล คิด วิเคราะ เขียน พูดให้คนอื่นฟัง
  • มีสติ อย่าหงุดหงิด เวลาคนอื่นมาวิจารย์หุ้นเรา
  • อ่านแรงจูงใจของคนต่างๆให้ได้ 
  • เล่นหุ้นให้สนุก มีความสุข
  • มีวินัยการลงทุน
  • ชัดเจนใช้ได้จริง
  • เข้าใจหลักการ ราคาหุ้น ใช้ได้จริง
  • ประเมิน จดบันทึกทุกครั้ง 
  • ผลตอบแทนย้อนหลังเป็นอย่างไร
  • ต้องมีความรัก มีการฝึกฝน 
  • เมื่อมีความรู้แล้ว อย่าลืมแบ่งปัน
ขอบคุณ สำหรับความรู้ทั้งหมดนี้ 

อาจจดผิด ขาดๆ เกินๆ เหมือนสมองผม ก็ขออภัยด้วยนะครับ