Monday, April 29, 2013

-talk show ความคาดหวัง จิตวิทยา อยากเป็นมาร์

โหลดที่นี่  (ข้างบนทางขวา กด download)

ต้องขอบอกก่อนนะที่นี่ ผมไม่ได้เรียนจบสาขาจิตวิทยา ผมก็ไม่ได้รู้จริงรู้ลึกในเรื่องนี้

ที่ผมเขียน เกิดจากความเข้าใจส่วนตัว และเห็นว่ามันดี เลยขอเอามาพูด ในงานสัมมนา มุ่งเรียนรู้ สู่ความมั่นคั่ง และเอามาลงในบล็อคส่วนตัวด้วย

ในอนาคต ก็อาจจะได้ไปพูดให้มือใหม่ที่เข้ามาในตลาดได้อีก


ในส่วนนี้ผมหวังว่า

  • คนจะเข้าใจในเรื่องความคาดหวังที่น่าพอใจ
  • ความผิดพลา่ดที่เกิดขึ้นจากจิตใจตัวเอง (จิตวิทยา) ในมุมต่างๆ
  • คนที่คิดว่า มาร์ หรือ นักวิเคราะห์ได้เปรียบ รายย่อย จะเข้าใจได้ถูกต้อง 

สำหรับการพูด ผมไม่ได้คิดตังค์นะครับ เพราะผมไม่ใช่ผู้เชียวชาญขนาดนั้น เป็นเพียงคนที่อยากแบ่งปันความรู้เท่านั้นนะครับ

*จะให้สนุก ก็ลองอ่านไป นึกถึงตัวเองไปนะครับ



----------------------------------------------------------------------------------------------------------


ความคาดหวัง จิตวิทยา Part 1
บทความสำหรับมือใหม่

เข้ามาในตลาด หวังอะไรกันบ้างครับ?
ทุกคนที่ผมรู้จัก รวมทั้งผมเอง หวังกำไรแน่นอน (มองกระจกตาก็เป็นเงินแล้ว) ไม่มีใครเข้ามาอยากแจกเงิน อยากจนหรอกครับ
มีคำถามมากมายที่ถูกถามขึ้น "มีเงินแสนนึง ขอกำไรวันล่ะพัน ก็อยู่ได้แล้ว" "ขอกำไรวันล่ะช่องได้ไม"
ต้องขอกล่าวถึงคนเก่งๆก่อน
บัตเฟต์ได้ 22% ต่อปีมา40ก่าปีแล้ว
ปีเตอร์ลินได้29% ต่อปีมา13ปี
ดร.นิเวศน์ ได้ 40%ต่อปีมา 16ปี
*ผิดพลาดขออภัยครับ

เงินฝากออมทรัพย์ 1-2%
ฝากประจำ 2ปี 2-3%
ดอกเบี๊ยราวๆ 6-7%

ซึ่งลองคิดเล่นๆดู ถ้าได้ 24%ต่อปี คิดว่าทำได้ไม ส่วนใหญ่ทุกคนที่ฟังผม มักบอกว่าไม่ได้ เพราะ ขนาดเซียนยังได้แค่นั้น
ลองมาแตกดูเป็นช่วงเวลาที่แคบลง
24%ต่อปี 2%ต่อเดือน 0.5%ต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 1ช่องต่อสัปดาห์

ที่กลับมาเรื่องคำถามในตอนแรก "มีเงินแสนนึง ขอกำไรวันล่ะพัน ก็อยู่ได้แล้ว" "ขอกำไรวันล่ะช่องได้ไม"
มีเงินแสน กำไร พัน ก็คือวันล่ะ 1% ส่วนทำกำไรวันล่ะช่อง คือวันล่ะ 0.5%
ซึ่งถ้าเปลี่ยนเป็นกำไรต่อปีแบบไม่ทบต้น จะได้ประมาณ 200% กับ 100% ต่อปี ซึ่งเป็นเป้าหมายที่คนที่เข้ามาในตลาดใหม่ๆ ตั้งเอาไว้ (รวมทั้งผม)
*แต่ในอีกหลายๆคน ก็เข้ามาด้วยความหวังที่ต่ำกว่านั้นเยอะก็มีนะ

ซึ่งความคาดหวังระดับนี้ ไม่ได้รวมค่าคอมไว้ด้วย

ถ้าคนที่ไม่ได้อ่านบทความนี้ คงบอกว่า ค่าคอมนิดเดียวเอง ประมาณ 0.2 %ต่อครั้งเอง
ลองคิดดีๆ ถ้า 0.2%ต่อครั้ง วันนึงซื้อไปกลับ ก็เสีย 0.4%ต่อวัน หรือประมาณ 80% ต่อปี

แค่ซื้อขายทุกวัน จนสิ้นปี ถ้าคนกลุ่มนี้กำไรได้ แสดงว่าเขาทำกำไรได้มากกว่า 80%ต่อปี ซึ่งต้องบอกว่า เซียนจริงๆนะครับ แต่ผมเชื่อว่ามีจริง เพียงแต่พอหักค่าคอมอาจจะเสมอตัว เลยดูธรรมดาไปหน่อย

ในช่วงนี้ก็ต้องยอมรับหน่อย หลายๆคนได้กำไรทำให้มีความสุขกันทุกคน เงินก็ไหลเข้ามาจากความโลภของคน เพราะตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น การที่คนบางคนจะซื้อๆขายๆ จนได้กำไรทุกวัน เลยเป็นเรื่องปกติไป และดูเหมือนว่าจะทำได้

ยังไงก็ตาม ก็อยากฝากเรื่องความคาดหวังกันไว้ อย่าคาดหวังกันเยอะเกินไป เพราะหลายๆคนมองแค่เป็นวันๆเท่านั้นนะครับ


----------------------------------------------------------------------------------------------------------


ความคาดหวัง จิตวิทยา Part 2
บทความสำหรับมือใหม่

เรื่องการลงทุนของหน้าใหม่ หลายคนชอบพูดว่า "มีเงินน้อย ขอลงทุนแบบง่ายๆได้ไม" "ไม่อยากศึกษามากเพราะเงินน้อย" "ขอหุ้นเลยได้ไม ตัวไหนขึ้น"

เรื่องมีเงินน้่อย เลยขอลงทุนแบบง่ายๆ หรือไม่อยากศึกษามาก เพราะเงินน้อย ต้องบอกตรงๆว่าเรื่องนี้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คนกลุ่มนี้รวยยาก

ผมพบคนหลายคนที่รวยไปแล้ว แต่เขาเริ่มจาก 0 เลย มีหลายๆคนเริ่มจากติดลบด้วยซ้ำ แต่ทุกคนล้วนพยายาม ศึกษา อดทน อย่างหนักเป็นช่วงเวลานึง จนเจอแนวทางของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นนักลงุทนระยะยาว หรือระยะสั้น (ในที่นี้ระยะสั้นหมายถึง ไม่ถึงปี) นักเทคนิคต่างๆ

คนหลายคนต้องเริ่มจากการคลำทางหาช่องทางเองด้วยซ้ำ หลายคนเอาชีวิตเข้าแลกกันทีเดียว (เอาเิงินที่มีทั้งหมดในบ้าน มาลงทุนในตลาด ถ้าพลาดก็จบ) กว่าพวกเขาจะมาถึงจุดที่เขาอยู่กันได้ทุกวันนี้ ก็ช้ำไปทั้งตัวเหมือนกัน

ต้องบอกว่าคนสมัยนี้ได้เปรียบ มีหนังสือดีๆมากกว่า(มีแปลไทยด้วย) บทความดีๆในอินเตอร์เน็ต มีเวปไซด์การลงทุนที่ดี มีการเปิดสอนเรื่องหุ้นเรื่องการลงทุนต่างๆ* มีทุกรูปแบบเท่าที่มนุษย์จะสรรหาได้ ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนระยะยาว การลงทุนระยะสั้น(รายไตรมาส) การลงทุนจิตวิทยา การลงทุนเทคนิคที่แตกสาขาได้อีกเยอะ (เช่น EMA MACD RSI แต่ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่) การลงทุนในกลุ่มสินค้าโภคพันธ์ การลงทุนด้วยญาณทิพย์(พวกเอาดวงเอาดาวมาดู ซึ่งผมก็ไม่ขอพูดอะไรมากในส่วนนี้)
*ต้องระวังเรื่องการเปิดสอนเรื่องต่างๆด้วย บางครั้งอาจทำให้เราเสียเงินโดยใช่เหตุ สำหรับผม การเปิดโอกาสไปหาเพื่อนๆร่วมลงทุนน่าจะดีกว่า ตามงานต่างๆ มีมติ้ง หรือมีการจัดสอนฟรี

นอกจากนั้นก็ยังมีคนเก่งๆ ที่ออกมาบอกตามเฟสบุ๊ค เพจ เวปไซด์ต่างๆอย่าง pantip หรือเวปอื่นๆ ที่ออกมาแนะนำหุ้นต่างๆในช่วงนั้นๆ (แต่ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงว่า ทุกท่านจะเข้าไปหาหุ้นเด็ด หรือขอหุ้นคนอื่นนะครับ แต่อยากให้ไปดูความคิดของเขาดู ว่าเขาคิดยังไง ทำไมถึงเป็นแบบนั้นมากกว่า)

นั่นทำให้ผมรับรองเลยว่า คนสมัยนี้ สบายกว่าสมัยก่อนเยอะ ในเรื่องการหาข้อมูลต่างๆ แต่ก็มีปัญหานิดหน่อย บางทีข้อมูลมันเยอะเกินไป ทำให้เกิดปัญหาในแง่ข้อมูลเสียบ้าง แต่ก็ต้องฝึกฝนกันต่อไป

ยังไงถ้าอยากจะรวย ก็ต้องศึกษาว่าจะรวยยังไง ไม่มีใครมาป้อนอาหารเราตลอดหรอกนะครับ แต่ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ หาคนที่ไว้ใจได้จริงๆ หรือไปหากองทุน ด้วยตัวเองก็ยังดีนะครับ การที่ไม่อยากศึกษา ก็เหมือนกับการจะทำธุรกิจ แต่ไม่รู้อะไรเลย สุดท้ายเงินทั้งหมดที่ลง ไม่ว่าจะเยอะหรือน้อย มันก็จะค่อยๆสูญเสียจนหมดไป

ส่วนกรณีขอหุ้นเลยได้ไม ส่วนตัวแล้ว ผมมองแยกเป็น 3 กรณี

1.มีหุ้น ให้หุ้นไป กรณีนี้ มันเหมือนว่า อยากให้คนซื้อเยอะๆ หุ้นจะได้ขึ้น ก็กลายเป็นเรื่องปั่นหุ้นไป ซึ่งแน่นอน ส่วนใหญ่หลายคนที่เชียร์หุ้น ให้หุ้น ก็น่าจะเป็นแบบนี้เยอะ

2.ไม่มีหุ้น แต่ให้หุ้นไป กรณีนี้มีน้อย มันแปลกๆ ไหนว่าหุ้นดี ทำไมคุณไม่มีล่ะ น่าคิดเหมือนกัน แล้วทำไมไม่ให้หุ้นที่มี แสดงว่ามันอาจจะดี แต่เราก็ไม่มั้นใจ จะเห็นบ่อยๆ ในรายย่อยทั่วไป คือรู้มาว่าดี แต่ไม่กล้าซื้อ หรือเพราะไม่มีเงิน ก็เป็นได้

3.ไม่บอกหุ้น กรณีนี้มีน้่อย ที่จริงมันก็ดี แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ชอบ ประมาณว่ามีอะไรดีๆเก็บไว้คนเดียว แต่ที่จริงแล้วกรณีนี้่ เป็นอะไรที่ดีที่สุดในระยะยาวมากกว่า

หลายๆคนคงตั้งคำถาม ว่าทำไม ถึงไม่ยอมบอกหุ้นกัน ต้องบอกว่า แต่ละคนมองไม่เหมือนกัน ผมเองก็เคยโดนด่า เพราะเขามาถามหุ้นว่าแนะนำอะไร ผมก็แนะนำตามปกติ (ถือเป็นปี) แต่พอเขาซื้อปัป มันลงปุ๊ป ในวันนั้นเลย เขาเลยมาต่อว่าผม ซึ่งผมเชื่อว่า หลายๆคนที่เลิกให้หุ้นไป เพราะเรื่องนี้นี่ล่ะ มุมมองไม่เหมือนกัน

แล้วการขอหุ้นที่ผมเห็นบ่อยๆ คือขอหุ้นที่ขึ้นเลย ขอหุ้นที่ติด celling ขอหุ้นที่จะขึ้นในไม่กี่วัน(ปกติมักไม่เกิน 2วัน) ต้องอธิบายก่อนว่า นอกจากคนที่มีเงินเยอะจริงๆ ที่เขาต้องการซื้อหุ้นอย่างหนัก ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้แล้วว่า หุ้นตัวไหนจะขึ้นแรง หรือขึ้นเมื่อไหร่ หลายคนคิดว่าเซียนๆ หรือคนที่อยู่ห้องค้ามานาน สามารถบอกได้ เพราะหลายครั้งเขาก็บอกถูก แต่ถ้าดูดีๆ เขาบอกเมื่อหุ้นขึ้นแล้ว หรือเขาบอกผิดแล้วคุณก็ลืมไปอย่างรวดเร็ว

เขียนมาเยอะเริ่มออกทะเล ก็ขอสรุปในส่วนนี้นะครับ

ถ้าอยากรวย ให้เริ่มศึกษา ขยัน ในช่วงแรก ลองผิดลองถูก เหนื่อยหน่อย อดทนอดออม เก็บตังค์ไปเรื่้อยๆ ถ้ามาถูกทาง รวยแน่นอนครับ ด้วยอัตราผลตอบแทนทบต้นหลายๆปีนะครับ

อีกนิด หลายคนก็คงเชื่อว่า อย่าง วอแรน บัตเฟต เขาคงรวยอยู่แล้ว เขาเลยรวยที่สุดในโลก ผมอยากให้ลองอ่านประวัติเขาดูนะครับ อย่าง ดร.นิเวศ ก็เหมือนกัน หนังสือเล่มนึงที่ผมแนะนำของคุณ skyforever ก็น่าสนใจ เรื่อง 1ล้านบาทแรก ในชีวิต อยากให้อ่านดู



ก่อนจบเรื่อง ความคาดหวัง ในบทต่อไป เรื่องจิตวิทยา (ไม่เครียดครับ ขำๆ)

อยากให้คิดเล่นๆ ถ้ามีเงิน 100 บาท ฝากให้บัตเฟต์ช่วยทำกำไรปีล่ะ 22% ต่อปี เป็นเวลา 40ปี จะได้เท่าไหร่
สำหรับคนที่ตอบ 500 ,1000 ,2000 หรือ 1หมื่นบาท ผิดหมดเลยนะครับวิธีคิด เอา 1.22ยกกำลัง 40 คุณ 100 ก็จะได้คำตอบครับ


----------------------------------------------------------------------------------------------------------


ความคาดหวัง จิตวิทยา Part 3
บทความสำหรับมือใหม่

ความมั่นใจเกินขนาด overconfidence

เป็นความมั่นใจเกินไปของมนุษย์ที่มักจะมองตัวเองในแง่ดีซะส่วนใหญ่ อย่างตั้งคำถามง่ายๆ ตลาดหุ้นมีผลตอบแทยเฉลี่ยประมาณ 12% ต่อปี (เริ่มจากปี 1975 เจอในเน็ต) และถ้าถามทุกคนที่เข้ามาในตลาด ว่าจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ เชื่อว่าทุกคนคิดว่าตัวเองจะได้มากกว่า 12%ต่อปีแน่นอน จาก part 1 ส่วนใหญ่คาดหวังประมาณ 100% ต่อปี ด้วยซ้ำ (วันล่ะ 0.5-1%)

เปลี่ยนคำถามหน่อย ถ้าเกิดถามคนที่ขับคนอยู่ ว่าตัวเองขับรถดีกว่าค่าเฉลี่ยหรือเปล่า แน่นอน 70-80% ตอบว่าขับดีกว่าค่าเฉลี่ย แต่ในความจริงแล้ว คนที่จะดีกว่าค่าเฉลี่ยได้ ก็ควรมีไม่เกิน 50%เท่านั้น แสดงว่าทุกคนมีความมั่นใจเกินขนาด

รู้ไมธุรกิจเกิดใหม่ มักจะล้มใน 5ปีแรก 90% แต่เวลาคุยกับเจ้าของธุรกิจ เกือบทุกคนจะบอกว่าธุรกิจของจะไม่ล้มใน 5ปีแรกแน่นอน และจะกลายเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แปลกแต่จริง

กลับมาเรื่องหุ้น ลองถามคนที่เข้ามาในตลาดอีกครั้ง "มั่นใจว่าเข้ามาในตลาดจะได้กำไรหรือเปล่า" แน่นอนทุกคนที่เข้ามาในตลาดย่อมหวังกำไรอยู่แล้ว แล้วใครขาดทุน? ถ้าคนส่วนนึงได้กำไร ต้องมีคนส่วนนึงขาดทุนแน่นอน

 นอกจากนั้น การมั่นใจเกินขนาด ยังทำให้นักลงทุน ซื้อขายบ่อยขึ้นด้วย ด้วยความเชื่อที่ว่า จะสามารถซื้อถูกขายแพงได้ตลอดเวลา

ผมเคยเอากราฟให้กับนักลงทุนหน้าใหม่ดู ดูกราฟจากอดีต เกือบทุกคน แทบจะบอกเหมือนกันว่า ให้ซื้อจุดนี้ ขายจุดนี้ ซื้อๆ ขายๆ และผลลัพธ์ออกมาคือ ทุกคนทำกำไรมากกว่าการถือหุ้นนิ่งๆเป็นเท่าตัวเลย

จากนั้นผมเปลี่ยนรูป เอาหุ้นที่ ถ้าถือยาว ได้กำไรพอๆกับหุ้นก่อนหน้านี้ แต่ค่อยๆเลื่อนทีละวัน ให้เลือกซื้อ หรือขาย วันล่ะ 5วินาที สุดท้ายทุกคน ไม่มีใครได้กำไรเท่ากับการถือหุ้นเฉยๆเลย พอขึ้นหน่อยก็ขายกัน ยิ่งเพื่อนขาย ก็ยิ่งขายกันใหญ่ พอขึ้นแรงๆ ก็แห่ซื้อ มีคนพยายามเอาเทคนิคมาใช้ด้วย แล้วก็มาคุยกันตอนจบว่า รู้งี้ไม่ขายดีกว่า หรือรู้งั้ ขายตรงนี้ ซื้อตรงนี้ดีกว่า

สุดท้ายผมเอาหุ้นมาอีก 2 แบบ คือหุ้นที่ ไม่ไปไหนเลย กับหุ้นที่ แย่ลงเรื่อยๆ ผลลัพธ์ก็ค่อนข้างจะเสียหายอย่างหนักในหลายๆคน

*คนที่ลองมีประมาณ 10 คน แต่คนล่ะรอบกัน และไม่เคยเล่นหุ้นมาก่อนด้วยซ้ำ

ในตรงนี้ผมยังไม่ได้ให้รวม ค่าคอม ค่าเคาะซื้อเคาะขายด้วยซ้ำ
*ค่าคอมประมาณ 0.2% ไปกลับ 0.4%
*ค่าเคาะซื้อเคาะขาย ประมาณ 0.5-1% หมายถึง ถ้าจะซื้อ คุณมักจะเคาะซื้อที่ offer และถ้าคุณจะขาย ก็มักจะเคาะขายที่ Bid เลย ซึ่งโดยปกติ จะต่างกัน 1 ช่อง

เรื่องความมั่นใจเกินขนาด ยังทำให้หลายๆคน เลือกซื้อหุ้นที่มีความเสี่ยงมากขึ้น (เช่นหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าบาท เพราะ%ในการขึ้นลงจะสูงกว่าหุ้นราคามากกว่าบาท หุ้นที่มีข่าว มีการปั่นของราคา) หรืออนุพันธ์ เพราะเชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีจากส่วนต่างของช่วงที่ขึ้นแรงลงแรง และการเล่นหุ้นกลุ่มนี้ มักทำให้เห็นกำไรเยอะๆในระยะอันสั้น ซึ่งทำให้นักลงทุนรู้สึกดี แต่ในระยะยาวแล้ว การเล่นหุ้นกลุ่มนี้มักจะทำลายผลตอบแทนระยะยาวมากกว่า

เป็นเรื่องน่าสนใจ หุ้นที่พึ่งขึ้นแรงๆ มักจะมีคนหันมามองกันเยอะ และมีบทความเยอะ เชียร์หุ้นตัวนั้นๆ ซึ่งในระยะสั้นๆ มักจะดูดีเพราะได้กำไรกันส่วนใหญ่ แต่ในระยะแล้ว การซื้อหุ้นที่ลงแรงๆ มักให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการซื้อหุ้นที่ขึ้นแรงๆ (ว่าเป็นปีต่อปี)

ความมั่นใจเกินขนาดยังทำให้เกิด "ภาพลวงตาอีกด้วย" ทำให้คนคิดว่า เขามีพลังวิเศษ

อย่างกรณีเราเลือกซื้อหุ้นเอง เรามักคิดว่าหุ้นที่เราซื้อ จะขึ้นมากกว่าที่คนอื่นซื้อให้ (กองทุน) กรณีนี้ถ้าจะเห็นให้ชัดๆ คือ หวย หลายคนชอบฝัน ชอบคิด เลขขึ้นมา แล้วไปซื้อด้วยความมั่นใจว่า เลขนี้ มีโอกาสถูกกว่าเลขอื่น ก็มีให้เห็นบ่อยๆ

เรื่องลำดับผลลัพธ์ ว่าถ้าหุ้นตัวนึงขึ้น อีกตัวต้องขึ้น เช่นช่วงนึงที่ SSC เปลี่ยนผบ เปลี่ยนธุรกิจ ทำแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา เลยขึ้นมาเยอะมาก แต่หุ้น HTC ก็ขึ้นมาด้วย เพราะเห็นว่าธุรกิจคล้ายกัน หรืออย่างกรณี เสี่ยเจริญที่หุ้นตัวไหนขึ้น ตัวที่เหลือจะตามกันหมดเลย BJC SSC OISHI GOLD UV พวกนี้

เรื่องความคุ้นเคยของเหตุการณ์ เช่น ถ้าดอกเบี๊ยลด ธนาคารจะแย่ อสังหาจะดี มีQE ทองจะขึ้น หุ้นจะขึ้น

บางครั้งอย่างกรณีลำดับผลลัพธ์ ความคุ้นเคยมันก็กลายเป็นจริงได้ เพราะพอทุกคนคิดเหมือนกัน ซื้อพร้อมกัน หุ้นก็จะขึ้นจริงๆ ก็ยิ่งทำให้ทุกคนมั่นใจเหมือนกันว่า ลำดับผลลัพธ์ หรือความคุ้นเคยของเหตุการณ์จะเป็นจริง กลายเป็นภาพลวงตาที่เป็นจริงขึ้นมา ก็มีให้เห็นบ่อยๆ

หลังจากภาพลวงตาเป็นจริง ทุกคนก็จะยิ่งมั่นใจกันมากขึ้น ภาพลวงตายิ่งหนักขึ้น เป็นผลลัพธ์ทำให้คนทุ่มเงินกับหุ้นหนักขึ้นไปอีกเรื่อยๆ (ถ้ามองในแง่มูลค่า คุณกำลังซื้อหนักขึ้น ในราคาที่แพงขึ้นเรื่อยๆ)

สรุปเรื่องความมั่นใจเกินขนาด
คนทุกคนมักจะคิดว่าตัวเองอยู่เหนือค่าเฉลี่ย เป็นผลให้หลายๆคนพยายามเพิ่มผลตอบแทนจนเสียหาย และการที่มีความมั่นใจเกินขนาด ก็ทำให้เกิดภาพลวงตาขึ้นมา ซึ่งค่อนข้างเป็นอันตรายในการลงทุนระยะยาวด้วย


----------------------------------------------------------------------------------------------------------


ความคาดหวัง จิตวิทยา Part 4
บทความสำหรับมือใหม่


ความภาคภูมใจ และความเสียใจ (Pride & Regret)

ในเรื่องนี้เป็นเรื่องของความดีใจและความเสียใจตามหัวข้อเลย ซึ่งเพราะเรื่องความดีใจและเสียใจทำให้หลายคนขาดทุนมากเลย ถ้าเรามาลองเข้าใจตัวเองดู เราอาจจะลงทุนได้ดีขึ้นก็ได้

ลองสมมุติง่ายๆดู ถ้าผมถือหุ้น A อยู่นาน สักพัก มีคนมาแนะนำหุ้น B จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ถ้าผมยังเลือกหุ้น A ต่อ แต่หุ้น B ดันขึ้นจริงๆ ผมจะเสียใจแน่นอน เรียกว่า "ความเสียใจจากการละเลย" คือมีคนมาแนะนำ แต่ผมไม่ทำ ผมเลยพลาด

แต่ถ้าผมขายหุ้น A ทิ้ง แล้วมาเลือกหุ้น B แทน แล้วหุ้น A ที่ผมถือมานาน ดันขึ้น ผมก็เสียใจอยู่แล้ว เรียกว่า "ความเสียใจจากการลงมือทำ"

โดยพื้นฐานแล้ว ไม่ว่าผมจะอดกำไรหุ้น B จากข้อแรก หรืออดกำไรจากหุ้น A จากข้อสอง ผมก็ควรจะเสียใจเท่ากัน ถ้าอดกำไรเท่ากัน

แต่ไม่ใช่เลย เรื่องของจิตใจจะทำให้คุณรู้่สึกเสียใจจากการลงมือทำ มากกว่า เสียใจจากการละเลย ลองดูตัวเองดู เวลาคนอื่นมาบอกหุ้น แล้วหุ้นเขาที่บอกขึ้นตอนเราไม่มี หรือ หุ้นเราดันขึ้นเมื่อขายไปแล้ว อันไหนเจ็บกว่ากัน

เหตุการณ์นี้ทำให้คนกลุ่มนึง ที่ถือหุ้นบางตัวมาอย่างยาวนาน ไม่อยากขายหุ้นที่ถือ แม้ว่าธุรกิจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม เพราะเขากลัวที่จะ เสียใจจากการลงมือทำ หรือเสียใจเมื่อขายแล้วขึ้น

เรื่องของความภูมิใจ และความเสียใจ ก็ยังมีมากกว่านั้น

คนส่วนใหญ่มักจะหลีกเลี่ยงความเสียใจ และพยายามหาความภูมิใจมากกว่า เขียนแบบนี้คงจะงงกันหมดล่ะ

สมมุติ ผมมีหุ้น A กำไรอยู่ 20% และหุ้น B ขาดทุน 20% คิดว่าผมจะขายตัวไหนเอ๋ย?

นักลงุทนส่วนใหญ่มักจะขายหุ้น A ทำกำไรไปก่อน และเก็บหุ้น B ที่ขาดทุนไว้ เพราะการขายหุ้น A ออกมาทำให้นักลงทุนกลุ่มนั้นเกิดความภูมิใจ ได้กำไรแล้ว แต่หุ้น B ที่ขาดทุน เขาจะไม่ยอมขาย เพราะเขากลัวว่ามันจะขาดทุนจริง ดังวลีที่ว่า "ไม่ขายไม่ขาดทุน" เป็นผลลัพธ์ทำให้ นักลงทุนกลุ่มนี้ เก็บหุ้นที่ขาดทุนไว้มากในพอร์ท

นอกจากนั้น ในจำนวนเงินเท่าๆกัน ที่กำไร และขาดทุน คนจะให้ความรู้สึกเสียใจจากการขาดทุนรุนแรงกว่า ภูมิใจจากกำไร เท่าตัว (มีคนไปศึกษามาแล้ว)

และความภูมิใจ และความเสียใจในเรื่องกำไร หรือ ขาดทุน ยิ่งมาก ความรู้สึกจะขึ้นน้อยลงเรื่อยๆ
เช่น ความรู้สึกเมื่อมีเงิน 1แสนบาทแรก คุณจะรู้สึกดีใจ หลังจากนั้น พอคุณเก็บเงินได้ 1ล้านบาท คุณก็จะดีใจมากกว่าคุณเก็บเงินแสนบาทแน่นอน แต่มันไม่ได้ภูมิใจเป็น 10 เท่า มันแค่มากกว่าเท่านั้น
*ลองดูในภาพนะครับ



ในส่วนนี้ก็เป็นเหตุผลที่จะบอกเรื่องแรก ทำไมไม่ขายหุ้น B ที่ขาดทุน 20% ไปด้วยพร้อมหุ้น A ที่กำไร 20% เพื่อให้ผลลัพธ์ ไม่ขาดทุน ไม่กำไร

เพราะคนส่วนใหญ่ รู้สึกขาดทุนรุนแรงกว่ากำไร ทำให้ไม่กล้าขายออกมา

เรื่องต่อมาเป็นเรื่องของ จุดอ้างอิง Reference Points

สมมุติ คุณมีหุ้น A คูรซื้อที่ ราคา 50 บาท ไม่นานนักหุ้นตัวนี้ วิ่งไปถึง 100 บาท จากนั้นไม่นาน มันก็ค่อยๆไหลลงมา ที่ 75 บาท ถ้าคุณขายหุ้น A ไป จะรู้สึกยังไง

ตามหลักการแล้ว ควรจะดีใจ เพราะว่าคุณขายได้กำไร 25 บาท แต่ผลจริงๆกลับไม่ใช่ เพราะคุณกำลังเสียใจว่า "ขาดทุนกำไรไป 25 บาท" เพราะมันเคยขึ้นไปถึง 100 บาท แต่กลับไม่ได้ขายไป ทั้งที่ในความเป็นจริง แทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย ที่จะขายได้จุดสูงสุด

*การที่จะขายได้จุดสุงสุด ซื้อที่จุดต่ำสุด มีทางเดียว คือคุณต้องเงินเยอะมากๆ เลยถล่มซื้อ ถล่มขายได้ นอกนั้น ฟลุ๊ค

นักลงทุนส่วนใหญ่มักเอาจุดสูงสุดของหุ้นตัวนั้นๆ มาเป็นจุดอ้างอิงเสมอ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า แนวต้านนั้นเอง (ทุกคนอยากจะขายที่จุดสูงสุด เลยตั้งๆกันไว้)

ผลของจุดอ้างอิงจะทำให้ คนพยายามขายหุ้นที่ จุดสูงสุดให้ได้ ทำให้ขายเร็วเกินไปในหุ้นที่ new high หรือหุ้นบางตัวราคาขึ้นไปตลอดเวลา ก็จะทำให้ คนส่วนใหญ่ ขายไปกันหมดอย่างรวดเร็วมาก

นอกจากนั้น จุดอ้างอิงยังมีผลในเรื่องของการพยายามซื้อด้วย โดยคนมักจะอ้างอิงจุดต่ำสุดเสมอ ในส่วนนี้ ทำให้คนหลายๆคน มักเข้าไปซื้อเวลาหุ้นตกแรงๆ เพราะรู้สึกว่า มันต่ำสุดแล้ว โดยรวมก็คล้ายๆกับ จุดอ้างอิงเวลาขาย ทำให้คนหลายคน ซื้อเร็วเกินไป เพราะคิดว่าตัวเองจะซื้อที่จุดต่ำสุดมากกว่า

สรุปเรื่อง ความภูมิใจ และความเสียใจ
ผลลัพธํที่เกิดขึ้นคือ คนมักจะรีบขายหุ้นที่มีกำไรไปเร็วมาก ทั้งเรื่องของความดีใจ และ พยายามขายในจุดที่คิดว่าจะได้กำไรมากที่สุด (ราคาสูงสุดจากราคาในใจ) ในรอบเล็กๆนั้น แต่จะเก็บหุ้นที่ขาดทุนไว้ เพราะไม่อยากเสียใจเวลาขาดทุน และมักจะซื้อหุ้นที่กำลังลงมา (อาจจะเกิดจากราคารายวัน หรือธุรกิจเปลี่ยน เข้าสู่สถาวะที่แย่ลง) อย่างรวดเร็ว ทำให้ขาดทุนอย่างหนัก

โดยเท่าไปแล้ว จะทำให้ผลตอบแทนแย่ลงเรื่อยๆ และจะได้ยินคำว่า "ถ้าหุ้นขึ้นไปที่ .... อีกรอบ ผมจะขาย" หรือ "ถ้าหุ้นลงไปที่ ... อีกรอบ ผมจะซื้อ" ซึ่งเป็นเรื่องของจุดอ้างอิง

Thursday, April 25, 2013

ประชุมผู้ถือหุ้น Beauty 25/4/56

ประชุมผู้ถือหุ้น Beauty 
25/4/56



หลังจากทำงานได้สักพัก ผมก็แอบโดดงานมาก่อน เดียวเหตุผลต้องไปเยี่ยมลูกค้าแถว CDC เลียบทางด่วน ผมก็ออกจากที่ทำงานด้วยความขยันอยากไปหาลูกค้าสุดๆ โบกแท็กซี่ กระโดดขึ้นไป วิ่งตรงไป CDC เลย ตั้งแต่ก่อนเที่ยง รถติดนิดหน่อย แตไม่ใช่ปัญหา ไม่นานนักก็ถึงที่หมาย

ป้ายทางเข้า CDC


ผมก็เดินหลงทางนิดหน่อย ก่อนที่จะไปให้ยามแถวนั้นช่วยพาไป ก็ขึ้นไปที่ประชุม BEAUTY ก็มีคนมาต้อนรับอย่างดี พาให้ไปเซ็นนู้นเซ็นนี้นิดหน่อย แล้วก็เอาของชำร่วยเล็กน้อย ก่อนที่จะเข้าไปกินของว่างเล็กน้อย (แต่ผมกินไม่น้อยอยู่ หิวจัด)

วุ่นวายเล็กน้อย

มีท๊อฟฟี่เค็ก พายบูเบอร์รี่ แซนวิทแฮมชีส น้ำชา กาแฟ 

นำเสนอ

BB

BC

MN

ของชำร่วย + รายงานประจำปี (นึกว่าแม็กกาซีน)

ก็ก่อนเริ่มประชุม ขออธิบายก่อนนะครับ

BB = BEAUTY BUFFET
BC = BEAUTY COTTAGE
MN = MADE IN NATURE

เพื่อความสะดวกของผม อิอิ

วาระที่ 1 รับรองการประชุม 3/2555 

วาระที่ 2 รับทราบผลการดำเนินงาน แผนการ

ผลการดำเนินงานปีก่อน 


( กำไรต่อหุ้น 55 เทียบ 120 ล้านหุ้นโดยประมาณ ปัจจุบันมี 300 หุ้น หรือกำไร 0.58 บาทต่อหุ้น)

แผนการดำเนินงานปี 2556 

กลยุทธ์  เนื่องจาก ธุรกิจเครื่องสำอางเป็นธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงไวมาก
  1. Multi Brand เพราะลูกค้าถูกแบ่งเป็นกลุ่มๆมากขึ้น จึงต้องมีหลายแบรนด์เอไว้รองรับหลายๆกลุ่ม ให้กว้างขวาง และมีเป้าหมายที่ชัดเจนในแต่ล่ะกลุ่ม
  2. Multi Product ผลิตภัณฑ์หลากหลาย ตามความต้องการในการใช้งานของลูกค้าแต่ล่ะคน จะได้ยืดหยุนในเรื่องการผลิตสินค้าที่กระแสมาเร็วทันกับอุตสหกรรมความงาม
    1. ผลิตภัณฑ์ จะมีหลายรูปแบบ (แผนการตลาดแนวราบ)
    2. และจะมีหลายระดับราคา (แผนการตลาดแนวสูงต่ำ) 
      1. เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
  3. Multi Channels หลังจากที่ทำในแววงการนี้มา 10ปี ในช่วงปีที่มี BBกว่า 100 สาขา (ก่อนเข้าตลาดหุ้น) ด้วยความที่เรามี Know How มาก บริษัทมีศักยภาพมากกว่านั้น เลยเพิ่มช่องทางมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งช่องทางสินค้า Consumer ด้วย เพื่อเข้าถึงลูกค้าทุกระดับ (ปัจจุบันมี BC และ MN ซึ่งในอนาคต จะเพิ่มช่องทางอีกช่องทาง ชื่อ B?)
ปรัชญาในการทำธุรกิจ
  1. Creative คิดต่าง ไม่ซ้ำใคร เป็นผู้นำความแปลกใหม่ ไม่ลอกคนอื่น เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ 
  2. Dynamic เพราะธุรกิจเครื่องสำอางซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราต้องพร้อมเสมอ
  3. Sustainable เราต้องการยืนยัน อยู่ได้นานๆ เราจะโตได้ สุขภาพต้องดีแข็งแรงด้วย
นโยบาย
  1. เน้นสร้างสินค้า High Quality Produce ที่ดี 
  2. Premium Design การออกแบบบรรจุพันที่ดูดี เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า
  3. Targeting a Larger เน้นลูกค้ากลุ่มที่ใหญ่ที่สุด (MID - END)
  4. Affordable Price ราคาที่พอสมควร แข่งขันได้ 
ปัจจุบัน มี
BB เป็นบริษัทที่ทำมาต่อแรก 
BC เน้นแบรนด์มากขึ้น ราคาสูงกว่า เน้นธรรมชาติผสม Design Wind Tad (วินเทล์) 
MN เป็นสินค้ากลุ่ม Consumer ไม่มีร้านค้าเป็นของตัวเอง ขายผ่าน Modern Trade ปัจจุบันมีสินค้า 2 ชนิด ในอนาคตจะเพิ่มขึ้น ลูกค้ากลุ่ม Premise mass
B? รอเพิ่มแบรนด์ เป็นรูปแบบใหม่ทั้งหมด เพื่่อเพิ่มรายได้ กำไร ในกับบริษัท


ปี           ยอดขาย           GP         NP         GPM%      NPM%
2010          504             338         102           67              20
                +22%           +29%      +31%
2011          615             437         134           71              21
                +26%           +25%      +29%
2012          718             549         174           71              22
                +30% เป้าหมาย                
2013          XX             XX          XX      ประมาณ 70    20


IPO ปี 2013 มี Projection การใช้เงิน

           2012      2013(เป้า)       ปัจจุบัน (25/4/56)
BB        148           180                157
BC          31            50                   41 
งบส่วนนี้ 125ล้านบาท

สร้าง Ware House & Training Center พัฒนาเรื่องอื่นๆ 120ล้านบาท



พัฒนาแบรนด์ใหม่ๆ , E-com , ช่องทางอื่นๆ

ปัจจุบันมีพนักงานประมาณ 400 กว่าคน มีการเทรนพนักงานใหม่ๆ 2สัปดาห์โดยประมาณ ต้องดูแลดีๆ เพื่อให้เขารู้สึกดี จะได้ขายดี

New Product 2013 
ปีนี้ยอดขายโต 30% 

Brade สินค้าเพิ่ม ของแต่ล่ะกลุ่ม
            2555          2556
BB         216             222 
BC            6                89
MN           2                33 

Marketing Plan
ทำตลาดทั้งด้านลงทุนด้วยเงิน และกิจกรรมต่างๆ 
สื่อต่างๆ (เน้นที่แม็กกาซีนมากกว่า)
โฆษณา TV ไม่เยอะ (คิดว่าไม่มีมากกว่า ไม่คุ้ม)
สื่อดิจิตอล youtube facebook bloger 
ขายร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ 
กิจกรรมต่างๆ
CRM 
ใช้สื่อเฉพาะทางกับลูกค้าโดยครง

*จะใช้เงิน่ต่างๆ ให้รอบคอมที่สุด 

โอกาสการขยายตัว
 AEC ปัจจุบันมี 1 สาขา ที่พนมเปน 
อนาคต
พนมเปน จะเพิ่มเป็น 3 สาขา และเพิ่มอีก 1 สาขาในจังหวังอื่น
เวียนจัน 2 สาา
เวียดนามอีก 2 สาขา รออยู่

*จะบอกทั้งหมดในส่วนที่เริ่มมีการทำงานจริงๆแล้วเท่านั้น

Q E-com มีเป้าหมายยังไง ร่วมคนอื่น หรือทำเอง เห็นผลเมื่อไหร่

A E-com เป็น 1 ช่องทางการที่น่าสนใจมาก แล้วก็ต้องทำตามผู้บริโภคไปเรื่อยๆด้วย 
แนวทางพํฒนามี 2 แบบ 1. พัฒนา เวปเอง หรือ 2 ทำร่วมกับผู้อื่น
ปัจจุบันฝ่าย IT ,Market กำลังศึกษากันอยู่ ส่วนช่องทางขายร่วมกับผู้อื่น กำลังเลือกสินค้าอยู่ 
เป็นช่งทางที่พึ่งเข้า ยังบอกเรื่องรายได้ไม่ได้

  1. ใน OP มีพวกครอสนวดหน้าแล้วให้ใช้ผลิตภัณฑ์ของเขาด้วย เพราะผู้หญิงที่มีอายุ มีเงิน ชอบมากๆ ไม่ทราบว่า BEAUTY มีไม 
  2. MN ทำจาก ธรรมชาติ เป็นไปได้ไม ถ้าจะใช้ ขมิ้น กาวเครือ มาผสมขายในสินค้า
A เป็นคำถามที่ดีมากครับ
  1.   เรื่องโปรแกรมนวดหน้า Beauty มีโครงการที่จะทำอยู่แล้วใน BC กำลังศึกษาอยู่ว่าจะทำแบบไหน ขาย บริการ หรือให้เป็นสิทธิ์ เมื่อซื้อสินค้า (อยู่ในช่วงศึกษาอยู่)
  2. MN สมุนไพรน่าสนใจ ซึ่งโดยปกติจะแบ่่งเป็น สมุนไพรไทย กับ สนุมไพรต่างประเทศ MN เป็นแบรนด์ที่วางไว้ว่าจะใช้สนุมไพรจากต่างประเทศมากกว่า ส่วนเรื่องสมุนไพรไทย คิดว่าต้องทำแบรนด์ใหม่เลย จะดีกว่า เป็น Ideal ที่ดีมากเลย ส่วนกาวเครือ มีในส่วนผสทของสินค้าของ BB แล้ว 
วาระที่ 3 อนุมัติงบการเงิน

Q ภาษีในปี 2554 กับ 2555 ในงบกำไรขาดทุน กับเงินกระแสเงินสด จ่ายไม่เท่ากัน เพราะอะไร

A งบกระแสเงินสดเป็นภาษีที่ค้างจ่ายในปี 2554 ซึ่งถูกเลื่อนมาจากในปี 2555 แทน

Q งบ Kamart มีรายได้ที่พอกับ Beauty (kamart 680 กับ  beauty 769 ตามลำดับ) แต่ค่าใช้จ่ายในการขาย Beauty เยอะกว่ามาก ( kamart 84 กับ beauty 255)

A เข้าใจว่าเป็นลักษณะธุรกิจ Kamart เป็นเฟสไซส 100% ทำให้ไม่มีค่าเช่า ค่าหน้าร้าน ค่าพนง 
เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ล่ะบริษัทด้วย โดยทาง Beauty เลือกโตแบบยั่งยืนมากก่ว่า 

Q เดินผ่านร้าน BB บางที่ มีพนักงานมากเกินไปไหม

A พนักงานมากกว่าลูกค้า ต้องเข้าใจว่า แต่ละช่วงเวลาไม่เหมือนกัน บางช่วงว่าง บางช่วงคนเยอะ เราต้องการบริษัทลูกค้าให้พอ อย่างวันเสาร์ อาทิตย์ พนักงานส่วนใหญ่ไม่พอ ยิ่งบิวตี้ มีการแต่งหน้าด้วย 
*สาขา CPN ปิ่นเกล้า กำไรดีมาก

Q มีปัญหาเรื่องค่าเช่าที่แพงไหม ในบางห้าง อาจทำให้ไม่กำไรในทุกเดือน

A เรามีการตัดสินใจก่อนแล้ว 
จุดไหนค่าเช่า เท่าไหร่  พื้นที่แค่ไหน หน้าร้านกว่างไม เราคำนวณความเป็นไปได้ทั้งหมด ตั้งแต่แบบ แย่ ปานกลาง และ ดี ยิ่งเปิดเยอะ เรายิ่งมีร้านเยอะ เราก็มีข้อมูลเยอะ คาดการณ์ได้ 
*บางที่ค่าเช่าอาจจะแพงมากๆ แต่ก็ต้องยอมจ่าย เพราะเป็นเรื่องของแบรนด์ด้วย

Q ค่าใช้จ่ายขึ้นมา ค่อนข้างมากในปีที่ผ่านมา 

A สาขาเพิ่ม ค่าเช่าเพิ่ม เข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็ดึงคนเก่งๆเข้ามาช่วยบริษัทด้วย ปรับค่าแรงก็ด้วย แต่บริษัทก็รักษาการโตที่รักษาระดับ GPM NPM ไว้เสมอ
เรามองดูตัวเลขที่ดีด้วย ไม่ได้ทำธุรกิจอย่างเดียว

วาระที่ 4 ปันผล
วาระที่ 5 กรรมการ
วาระที่ 6 ผลตอบแทน โบนัส
วาระที่ 7 ผู้สอบบัญชี
วาระที่ 8 อื่นๆ

Q เสนอแนะ ในงบการเงินมีเงินสดกว่า 200ล้านบาท แต่ในนั้นมีหนี้สินอยู่ 5 ล้านบาท และมีดอกเบี๊ยจ่่ายอยู่ 4แสนกว่า น่าจะเอาเงินสดไปชำระหนี้ให้หมดก่อนได้ 

A น่าจะเป็นหนี้จาก สาขา MBK  เพราะเป็นที่เซ็งต่อสัญญาระยะยาว ต้องระวัง เดียวคนอื่นเอาที่ไป

Q ปลายปีนี้จะมีสินค้าเข้า Modern Trade อาจจะทำให้มีปัญหาเรื่องกระแสเงินสด เพราะต้องมี Credit term ด้วย จะไหวไม

A การเข้า Modern Trade จะต่างจากปกติ แต่จะมีผลยังไง ทางบริษัทได้ศึกษาและค่อยๆเข้าไป ส่วนเรื่องผลกระทบไม่น่าจะรุนแรง เพราะว่าสัดส่วนรายได้หลัก ก็มาจาก BB BC เหมือนเดิม

คำถามจากสมาคม
Q อยากรู้จุดแข็ง จุดเด่น  และการวางแผนในอนาคต

A หลังจากเข้า set  beauty เองก็เป็นธุรกิจค้าปลีกเครื่องสำรองเพียวๆ ซึ่งคู่แข็งก็มี แต่เราจะโฟกัสในสิ่งที่ทำอยู่ ไม่เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น ทำในสิ่งที่ถนัด เครื่องสำอางเองก็เป็นธุรกิจที่มี NPM สูง 
ธุรกิจเครื่องสำอางเป็นธุรกิจที่จำเป็นมากสำหรับผู้หญิง ทุกวันนี้คนคำนึงถึงหน้าตามาก 
"บางคนไม่กินข้าวไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่แต่งหน้า อยู่ไม่ได้เลย"

เป็นธุรกิจที่กระแสเงินสดดีมาก มีโอกาสขยายตัวกว้างขวาง ลงทุนต่ำ กระจายสาขากระจายความเสียง ถึงมือผู้บริโภคมากมาย 

ในบางช่วงมีวิกฤตบาง การเมือง น้ำท่วม บางสาขาก็มีปัญหา แต่โดยรวมแล้ว ไม่มีผลกระเทือนเลย 

ที่จริงมีอีกเยอะ แต่พอแค่นี้ก่อน (ผบ บอกเองนะ) 

แผนงาน
หลังจากเข้าตลาด ก็มีหลายฝ่ายมาขึ้น มี QC ตรวจสอบมากขึ้น รวมถึงผู้ถือหุ้นด้วย 
เราต้องรับผิดชอบในเงินลงทุนของผู้ถือหุ้น มีการตั้งเป้าหมาย มีต้นทุนต่างๆชัดเจน มีมาตรฐานมากขึ้น....
(จดไม่ทัน) 

ทั้งตอนนี้ และอนาคต จะดีขึ้นเรื่อยๆ

Q
  1. รูปแบบ B? เป็นยังไง ได้ยินว่าจะเอาสินค้าคนอื่นมาขายด้วย 
  2. สินค้าที่วุฒิศักร์ คลินิก ไม่ทราบว่าเราเกี่ยวข้องอะไรหรือเปล่า
  3. ค่าเงินบาทแข็ง เราได้อะไรไม
A
  1. B? เป็นโครงการใหม่ ที่จะนำสินค้าคนอื่นเข้ามาด้วย อยากบอกแต่เป็นความลับทาธุรกิจถ้าบริษัทคิดอะไรขึ้นมาก ขอให้เชื่อว่าเราทำได้ เราหาช่องว่างคู่แข็ง ปัจจุบัน 50% แล้ว มีทีมงาน บุคลากร ครบแล้ว รอเปิด ขอให้อดใจรอกันนิดนุง
  2. ไม่ใช่วุฒิศักร์คลินิก เป็นวุฒิศักร์ฟาร์มาซีน คนละอย่างกัน ไม่เกี่ยวกัน เป็นการขายสินค้าของ MN แล้วก็ไม่มากนัก ส่วนที่ต่างประเทศ คนที่เป็น Partner เป็นคนเดียวกัน เลยเปิดใกล้กัน 
  3. ในบางรายการ เรานำเข้า แตไม่มีผล ส่วนใหญ่จ่ายเป็นเงินบาท
Q  MN ยังไม่เห็นเลย

A ในโลตัส top ตอบรับแล้ว รอเรื่องขั้นตอนเอกสาร ไม่นานจะได้เห็น

Q อยู่ภาคเหนือ สำรวจมาหลายร้าน มีปัญหาเรื่องสินค้าขาด และขาดเป็นเวลานานด้วย เป็นเดือนๆ แถมลายสาขาด้วย พนักงานก็บอกไม่มี เป็นปัญหาด้านโลจิติกหรือเปล่า หรือปัยหาด้าน ware house ไม่พอหรือเปล่า

Aสินค้าขาดจริงๆ 
ปัจจุบันน้อยลงมากแล้ว แต่ก็ยังมีบาง ในธุรกิจค้าปลีก มีปัญหาเรื่องสินค้าขาดเยอะ ไม่ว่าจะเป็นคนซื้อเยอะ ในช่วงเวลาใดเวลานึง (เช่น ทุกสัปดาห์ ขายได้ 5 ชิ้น จู่ๆสัปดาห์นี้ มีขาย 10 ชิ้นเลยหมดเลย) หรือ บางทีขายสินค้าใหม่ แต่ขายดีเกินคาด ทำให้ขาดตลาดช่วงคราว

อย่างปีก่อน สินค้าขาดเยอะเพราะว่าแพ็คเก็จจิ้น บรรจุพันไม่พอ เพราะเรื่องน้ำท่วมในปีก่อน โรงงานที่ทำบรรจุพันโดนน้ำท่วม ทำให้ผลิตไม่ได้ โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้บรรจุพันเฉพาะโรงงาน 

การขาดสินค้า อันตรายมาก เพราะอาจทำให้ลูกค้าไม่กลับมาซื้ออีก เสียโอกาสในการขายด้วย 

ทางเรารู้หมดเลยว่าสินค้าขาด จนต้องแก้ปัญหาเรื่องสินค้าขาดอย่างเร่งด่วนด้วย ตอนนี้ดีขึ้นเยอะมากแล้ว เราติดตามปัญหาอย่างใกล้ชิดเลย

ในอนาคตคงดีขึ้น แต่โดยปกติแล้ว การลงสินค้า จะลงเป็นอาทิตย์ๆ ถ้าสัปดาหไหนขายดี ก็ต้องเพิ่มสินค้าที่ลงร้านให้มากขึ้นอีก

ส่วนด้านโลติดจิกไม่มีปัญหาเลย เรื่องช้าเรื่องจัดเก็บ ไม่มีปัญหา แล้วมีการเตรียมพื้นที่เก็บเพิ่มแล้ว

Q
  1. ที่ผ่านมา Shop ใช้เวลา 8 เดือนคืนทุน ตอนนี้ยังเหมือนเดิมไม
  2. พนักงานขายมีวิธียังไงบ้างในการวัดผล เพราะก็มีทั้งดี ไม่ดี
A
  1. ค่าเฉลี่ย Shop ใช้เวลา 8-12 เดือนในการคืนทุน อนาคตก็ขึ้นอยู่กับทำเล เรามีการวัดผลเสมอ และพยายามควบคุมเสมอ
  2. การบริการ เราเปิด200 สาขา บริษัทก็พยายามควบคุม operation มีการดูเสมอ มีหลายฝ่ายไปเยี่ยมสา แบบสุ่ม มีบัญชีไปรวจสินค้าด้วย
เรื่องตรวจสินค้า ถ้ามีสินค้าหายไม่เกิน จะให้โบนัสพนักงานแทน (เมื่อก่อนหักเงิน แล้วพนักงานไม่พอใจกัน) 

เรื่องพนักงานที่ีปัญหาก็ไม่แก้ตัว แต่อยากรู้ด้วยซ้ำว่าอยู่สาขาไหน แต่ขอนอกรอบ
เราพยายามในการดูแลอยู่เสมอ มีการ check list ต่างๆ การจัดการร้านค้า ต้อนรับลูกค้าต่างๆ และดูกลอ้งวงจรปิดประกอบด้วย 
ผมเชื่อว่า Beauty มีการอบรมที่ดี แต่ก็อาจจะมีบ้างที่หลุดไป เราพยายามมุ่งเน้นด้านนี้ด้วย

Q ต่างประเทศ มี partner อยากให้ระวัง เรื่องเคส pizza กับ น้ำดำ บางทีธุรกิจไปด้วยกันดีๆ ก็แตกคอ ทำให้เราเสียหายได้
 
A นโยบายมี 2 แบบ คือขยายเอง ทำเอง จะค่อนข้างลำบาก และไม่คุ้ยเคย
 อีกแบบคือ partner เราเลือกข้อนี้ แต่ล่ะทางมีข้อดีข้อเสีย เราก็เลือกทำไป เรียนรู้ไป ศึกษาไป มีสัญญาต่างๆกันมีปัญหาด้วย
ในอนาคตจะมีทำเองไม บอกยาก แต่เราเลือกทางที่ดี มีการติดตาม จะดีกว่า

Q สินค้าแตก จากการรับทางพัสดุ
พนักงานที่มีปัญหา ต่อว่าลูกค้า คิดว่าจะแก้ไข ระวังยังไง

A เรื่อสินค้าเป็นปัญหา ด้านการส่งมากกว่า เราก็เพิ่มช่องทาง boxset ช่องทางใหม่เหมือนกัน ในส่วนนี้เราให้ partner ทำ 
เรื่องพนักงานต่อว่า เราต้องบอกว่าในธุรกิจ ลูกค้าถูกเสมอ เราพยายามเสมอที่จะอบรมเรื่องนี้ แต่พนักงานมาก ก็มีหลุดกันบ้าง

จบการประชุม 

นอกเรื่อง 
Q บางที่ขายส่ง ลดราคา 70% เลย จะทำให้มีปัญหาไม

A บางทีลูกค้าเขาซื้อไปขายเอง อย่างเกาหลี จีน หรือบางจังหวัดที่สมัยก่อนไม่มีร้านไปเปิด เราเองก็ยอมเพราะเหมือนเป็นการทำตลาดไปด้วย ถ้าเขาเหมาไปแล้วขายดี เราก็กล้ามากขึ้นที่จะไปเปิด

Q เรื่องการเปิดเป็นร้านเล็กๆ ในบางที่ หรือสนามบิน

A การเปิดร้านเล็กๆ ถ้าเล็กมากไป ไม่แสดงถึงความเป็นแบนรด์ เราก็ไม่เอา ส่วนสนามบิน ค่าเช่าที่แพงเกินไป 





















Friday, April 19, 2013

ประชุมผู้ถือหุ้น RS 2556

ประชุม ผู้ถือหุ้น RS ประจำปี 2556 
RS Hall ลาดพร้าว 15 
19/04/56



วันนี้แดดร้อนแรง ตลาดหุ้นยังเรียกนักลงทุนหน้าใหม่ไม่ขาดสาย แต่ผม เม่ามึนทำงานเป็นมาร์ แอบโดดงานมาเป็นนักลงทุนชั่วคราวสักพักนึง บังเอิญที่ทำงานอยู่ใกล้กับที่ประชุม RS พอดี เลยถือโอกาส ไปเยี่ยมลูกค้าหน่อย 

ก็มาขึ้นรถที่ ยูเนียมมอล์ แถวๆMRT ลาดพร้าว เพราะได้ข่าวว่ามีรถมารับ ดีจังเลยสำหรับมาร์จนๆอย่างผม 

เมื่อเดินมาถึง เห็นรถสีสันบาดตามาแต่ไกล ติดป้ายไปประชุมผู้ถือหุ้น ไม่ผิดคันแน่นอน กระโดดขึ้นรถทันที

รถตู้เห็นชัดแต่ไกล เยี่ยม

หลังจากขึ้นรถตู้มา ก็ได้พบกับคนรู้จักพอดี บังเอิญจริงๆ แล้วก็เจออีกคน เขารู้จักเพราะว่าผมเคยทำเพจมาร์มึน (ปัจจุบันเป็นเพจ เม่ามึนแทน) แล้วรถก็เคลื่อนตัวพอดี ไม่รอช้า รถตู้ก็วิ่งมานิดหน่อยก่อนเข้าซอยแคบๆ แล้ววิ่งไปยังตึก RS ที่นัดไว้ 


เมื่อมาถึง ผมก็ลงหน้าตึก ก็มีพนักงานขอ RS มาต้อนรับ กลับ ลุงๆป้าๆ ที่มาลงชื่อเอาของฟรี แล้วก็รอรถตู้นั่งกลับยืนอยู่ 

ไม่รอช้า ขึ้นไปชั้น 7 แล้วก็เนียนๆ เป็นเพื่อนคนอื่นมาประชุมด้วย 
ปล. มีแต่ rs-w2 อ่ะ

คนไม่เยอะ แถมได้ของกินด้วย ^.^ ดีจังเลย

ก็ก่อนมาไม่คิด เลยไม่ได้กินอะไรมาเลย รีบมาถึงก่อนเกือบ ชม ก็เลยกินๆของที่ RS ให้มา แต่ว่าไม่พอ เลยไปกินขนมปังร้านข้างล่าง แถวนั้น 

ไร้สาระมาพอล่ะ ก็เริ่มประชุมเลยนะครับ 

วาระที่ 1 รับรองการประชุม 55

Q(ก่อกวน) ทำไมไม่ส่ง หนังสือมา ส่งแต่ CD มา แล้วก็ทำไมไม่มีหนังสือหน้างานเลย 

A บริษัทมีนโยบายลดการช้กระดาษ เพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าท่านต้องการหนังสือ ก็มีแจ้งในเอกสารที่ส่งไปแล้วว่า ให้แจ้งมาทาง RS ก่อนเข้าประชุม 

หลังจากนั้น ก็คำถามไร้สาระ เลยไม่ได้จน เสียบรรยากาศประชุมกันนิดหน่อย ก่อนที่จะลงคะแนน แล้วก็เกิดปัญหาอีก ว่าคนนับคะแนนมั่ว

* คือคนนับคะแนน เขาดูจำนวนหุ้นทั้งหมด ว่าผ่าน ที่ไม่ผ่านมีน้อยมาก จนไม่แสดง % ออกมา หรือไม่ผ่าน 2200หุ้น จากทั้งหมด 

แล้วก็โวยวายอีก ว่ามีหุ้นเหมือนกัน ไม่ทำไมปฏิบัติดีๆ ไร้สาระ

วาระที่ 2 รายงานงบการเงิน 55 เทียบ 54 

การเปลี่ยนแปลงหลักๆ 

รายได้จากสื่อ
  • เพื่มจาก SAT TV มา ทั้งด้านราคาขาย และการเพิ่มช่วงเวลา โดยเฉพาะ sun และช่อง 8 เพราะได้อันดับ Sat TV 1และ 2 (ไม่รวม Free TV)
  • Radio ก็เพิ่มมากพอสมควรเพราะเป็นอันดับต้นๆเลย คนเลยมาโฆษณาเยอะ
  • Star Max เปลี่ยนมาจาก ยักษ์ TV เปลี่ยนเป็นวาไรตี้ดาราแทน
  • ไตรมาส 3 ปี 55 มีลาลีก้า ก็ได้ รายได้มาจาก ทั้งโฆษณา, กล่อง sun box, ถ่ายทอดสดผ่านมือถือ
  • Cool 93 ปรับค่าโฆษณา มีการเล่นเกมส์กับผู้ฟัง เป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม EASY... (จดไม่ทัน) 
  • โชว์บิต รายได้จากงานรับจ้างผลิตลดลง 
  • โชว์บิต รายได้จากกิจกรรมคอนเสริ์ตเยอะขึ้น (ปี 55 มี 3 อัน ได้เวลาเจมส์ ลิปออยแฮบปี้ ... (จดไม่ทัน)
  • เพลง รายได้ลดลง ทั้งเก็บลิขสิทธิ์ และแผ่นเพลง
Q(ก่อกวน) รายได้เท่าไหร่ จดไม่ทัน เพราะไม่มีในหนังสือ (แต่ผมเห็นมันโชว์อยู่บนจอนะ) แล้วก็จะเอาหนังสือ จะเอาน้ำเย็น เอากาแฟ เอาชาเย็น เอาทุกอย่างที่จะเอาได้ - ไร้สาระ 

Q อยากให้แยกค่าใช้จ่ายในการขาย บริหาร อื่นๆ
อยากรู้ว่า ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมคืออะไร 
อยากรู้ Q

A ค่าใช้จ่ายแยกได้ดังนี้
157.4 เป็นค่าใช้จ่ายในการขาย
 400ก่า เป็นค่าใช้จ่ายบริหาร
8.59 เป็นค่าใช้จ่ายพนักงาน
* ขออภัย จดไม่ทัน ไม่ชัวร์เท่าไหร่ 
เรื่อง Q1 ให้ไม่ได้ เพราะ กลต จะเล่นงานเอา และงบยังปิดไม่เสร็จ


*เสริม ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม ก็เหมือนบริษัท A ถือ B อยู่ 80% ถ้า B กำไร 10 บาท A ต้องบรรทึก 10 บาท แล้วไปหักออกจากส่วนได้ส่วนเสีย 2 บาท เพื่อให้เหลือ 8 บาทตามที่ถือ B อยู่
** ไม่แน่ใจนะ ที่เข้าใจแบบนี้

Q รายได้จาก ลาลีก้า แบ่งยังไง กับ Dtac แล้วเครือข่ายอื่นล่ะ 

A ลองดูก่อน เลยเริ่มกับ DTAC ในฤดูกาลแรก ฤดูกาลหลังจะแจ้งอีกที ว่าไง 
รายได้ DTac คิดเป็นค่าใช้จ่ายการตลาดให้ลูกค้าดูฟรี RSก็ได้รายได้ส่วนนั้นมา 

Q(ก่อกวน) อยากให้สไลดเพิ่มหน่วย ล้านบาท เพราะไม่เข้าใจ กลัวคนอื่นไม่เข้าใจด้วย 

Qรายได้จากธุรกิจอื่น ประกอบด้วยอะไรบ้าง
รายได้อื่นๆ ประกอบด้วยอะไรบ้าง

A รายได้ธุรกิจอื่น มาจาก สนามฟุตบอล ซึ่งยกเลิกไปแล้ว ทำให้รายได้ส่วนนี้ลดลง
รายได้อื่นๆ มาจากการขายซาก CD ที่ขายไม่ออก และ ขายสนามฟุตบอล 

สมาคมนักลงทุน
Q
 มีการวางแผนพัฒนาอะไรบ้าง เพราะต่อไปจะมีสื่อมากมาย อย่าง 3G Digital TV 

AEC เปิด ทำไง

Cable TV รายได้เท่าไหร่

ต้องเข้าใจ 3G Digital TV เป็นเพียงตัวกลาง ใครสะดวกอะไรก็ดูไป ส่วน RS จะผลิต คอนเท้นเป็นหลัก พันาอย่าหยุด เช่น ช่อง 8 กับ ช่อง สบายดีทีวี ก็ดีที่สุดใน SAT TV แล้ว และปริมาณคนดูก็เยอะมากกว่าที่คาดด้วย

AEC มีถามมาทุกปี ว่าทำไง สื่อมันไม่มีพรมแดนอยู่แล้ว ส่ง THCOM ขึ้นไป ที่ไหนอยู่ในเขต ก็รับได้ มีแค่เรื่องภาษาไทยอย่างเดียว เดียวนี้ละครก็มี จีนกับ ยุโรป ดูเหมือนกัน เพลงใน youtube ขายในไทยได้ 50 : 50 ในต่างประเทศเลย 
เราศึกษาอะไรที่เป็นประโยชน์มากที่สุดต่อบริษัทและผู้ถือหุ้น 
ที่สำคัญ อนาคตการโฆษณาจะมีบทบาทมากขึ้นมาก เพราะไทยเป็นศูนย์กลาง AEC ด้วย อนาคตยังไงก็ดี

Cable TV ไม่มี มีแต่ SAT TV รายได้ 531 ลบ

กฎ กสทอ เรื่อง ลาลีก้า เป็นไงบ้าง

 Live starmax you chanel Cool จะได้ตาม plan ไม

A
ขอไป 22 คู่ จาก 44 คู่

star เป้า 100  you เป้า 130 ตามเป้า ส่วน cool ยังคาดไม่ได้ เพิ่มเปิด คาดว่าน่าจะได้ 80 - 90% 

Q กวน ไร้สาระ

วาระที่ 3 อนุมัติ งบดุล กำไรขาดทุน 

Q กวน ทุกวาระ สอนผู้บริหารอีกแล้ว 

วาระที่ 4 พิจารณา กำไร สุทธิ์ ปันผล

Qกวน บอกว่า ถ้ามีปัญหา จะให้เพื่อนๆขาย หุ้นจะได้ตกลงมาแรงๆ

A ในฐานะ ผู้บริหารใหญ่ จะทำให้ดีที่สุด เพื่อผลประโยชน์ส่วนใหญ่ รับฟังทุกความคิดเห็น แต่ถ้าความเห็นไหนไม่ดี ก็ไม่เอา

ตอนนี้เหมือนจะวางมวยแล้ว ผมเองยังอยากไปซัดคนก่อกวนเลย น่ารำคาณมาก แต่ก็มีพระเอกในงานลุกขึ้นพูด

"ในทุกการประชุม ผถห อาจจะมีคนที่มีอาการทางจิตบ้าง ก็้ต้องทำใจ แต่ยังไงก็ตาม ก็้ต้องขอบคุณผู้บริหาร ที่ทำให้บริษัทดีได้ขนาดนี้ และขอให้ ผบ สู้ๆ ครับ" 

อาการทางจิต หัวเราะทั้งห้องเลย 

วาระที่ 5 เลือกตั้ง กรรมการ

มีผู้คัดค้าน 22 เสียง (2200หุ้น) (2หมื่นนิดๆ) นักลงทุนรายละเอียด ผู้เป็นอาการทางจิต

วาระที่ 6 พิจารณาค่าตอบแทนกรรมการ

Qก่อกวน อย่าพึ่งเบื่อ ผมยังมีเรื่องจะถาม .... ไร้สาระ 

วาระที่ 7 พิจารณาแต่งตั้งผู้สอบบัญชี 

Qก่อกวน คิดค่าสอบบัญชีไม่เป็น

วาระที่ 8 อื่นๆ 

Q ฟังไม่ทัน

A Show Biz ไม่น่าโตมาก แล้วก็ปีนี้ก็วางแผนหมดแล้วเรื่อง คอนเสริต

Q
 ลาลิก้า ถ้า กสทอ ไม่ยอม ทำไง โฆษณาอย่างเดียวจะพอต้นทุนไม ขาดทุนไม

เพลงยังมีอนาคตไม

ถ้า Worst Case แย่สุดๆ ก็คุ้ม เพราะค่าโฆษณาอย่างเดียวก็กำไรแล้ว ยังไงก็กำไร

เพลง นิ่งๆ แต่ดี มาร์จิ้นสูง 3G ก็พร้อม เทคโนโลยีใหม่ๆ Steaming ก็ดี เป็นยุคที่ดีที่สุดของเพลงเท่าที่เคยผ่านมา

Q มี sun box ขายลดราคาไม

A อยู่หน้าห้อง 

Q ส่วนแบ่ง ศิลปิน ผู้แต่ง RS เป็นไงบ้าง feed back 

A เดียวนี้ขายแผ่นได้น้อยลง เลยไปแบ่งโชว์แทน เพื่อให้ศิลปินอยู่ได้ และไม่กระทบการบริษัทมาก เพราะไม่ใช่รายได้หลัก ยังไงก็เป้าเดิม รายได้ 4000 ลบ เพิ่มจากสื่อเป็นหลัก

Q digital TV เป็นไง

A สนใจแต่ต้องรอให้ชัดเจนก่อน 
เราสามารถโตโดยไม่มี Digital TV ได้ 
มันเป็นโอกาส ไม่ใช่ความสำเร็จ ไม่ใช่มีเงินก็ทำได้ 
ถ้ามี digital TV ก็ดี ไม่มียิ่งดี

Q Digital TV มี 24 ช่อง จะมีผลกระทบของการขึ้นค่าโฆษณาไม 

A Sat TV มี ร้อยกว่าช่อง เราไม่มีปัญหา 
ปัจจุบัน ครัวเรือน ดู Sat TV 70% ของทั้งหมด (20% เป็นเสาก้างปลา) 
ที่ต้องลำบากคือ free TV มากกว่า กลุ่มนั้นเขาไม่อยากให้มี Digital TV  แต่สำหรับเรา ยังไงก็ได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ก็อยู่ที่คนกดรีโมท ทุกช่องมีค่าเท่ากัน ต้องแข่งว่าใครจะสนใจมากสุด

สำหรับเรามันเป็นขาขึ้น เรารอมา 30 ปี 

Q สนใจ pay TV ไม 

A ภาพใหญ่ มีน้อยมากที่จะเก็บเงินได้ เพราะคนไทยชอบของฟรี 
ลาลีก้า รอไตรมาส 2 (ตอนนี้ยังไม่รู้) ปีแรก ขายกล่อง ให้ดูฟรี
ทำในสิ่งที่ RS ทำให้ดีที่สุด

Q RS เจาะแต่ตลาดกลางล่าง ทำไมไม่เจาะตลาดบน

A Cool RS เจาะตลาดบน เป็นอันดับ 1 มา 11 ปี 
ต้องมองเรื่องความเหมาะสมด้วย
Sat TV ต้องวัดจากคนดูส่วนใหญ่ เลยต้อง ตลาดกลางล่าง

เสริมจาก ผบ Cool รับได้ใน กทม และปริมาฑณ เลยต้องระดับบน แต่ SAT TV เป็ตลาด mass ทั่วไทย เลยต้องเป็นกลุ่มที่เยอะที่สุด คือ กลางล่าง

Q ถ้าได้ digital TV จะทำไง

A ช่อง 8 ชนะ Free TV แล้ว เรทติ้งดีกว่าช่อง 5 กับ 9 อีก 
วันนี้ยังแข่งได้ วันหน้าถ้าลงสนามเดียวกัน ยังไงก็ได้เปรียบ เราคล่องตัวกว่าเยอะ 
ถ้าถามว่ากลัวการแข่งไม เรารอแข่งมา 30 แล้ว 

Q ค่าโฆษณา บอกได้ไม

A สบายดี คนดูทั้งวัน ค่าโฆษณา 8000 บาท ต่อนาที 
ช่อง 8 มีละคร ตามช่วงเวลา ช่วงที่ดีที่สุด 20,000 บาทต่อนาที
Free TV ช่องดีๆ 5แสน รายการเท่าๆไป ถูกๆ ก็ 5หมื่นบาทแล้ว เรตติ้งต่ำกว่าเราอีก 
RS มีค่าโฆษณา สูงสุดของ Sat TV 

Q หลังจากฟุตบอลแล้ว ยังไงต่อ 2 ปีหน้า

A ปีนี้เป็นปีแรกที่ RS จะมีรายได้จากสื่อมากกว่าเพลง และจะสูงขึ้นเรื่อยๆ โดย RS เป็น media เข้าถึงคอนเท้น มันจะแข็งแกร่งแน่นอน




จบการประชุม 


ผมเองก็ต้องขอบคุณมาก ที่ผบ มีวิสัยทัศ และความอดทนต่อคนมีอาการทางจิตสูง มากนะครับ 

ส่วนไหนผิดพลาด หรือฟังผิด เขียนผิด ขออภัยนะครับ