Monday, March 4, 2013

แอบดู BEAUTY

===============================================================
edit 29/7/56 

beauty maket เปิดเพิ่มสาขาที่ 1
















===============================================================
===============================================================
===============================================================



บรรทึกช่วยจำ BEAUTY
http://www.beautycommunity.co.th/


เวปสินค้า
http://www.beautybuffetshop.com

http://beautycottageshop.com

http://www.made-in-nature.com/


ชอบตัวนี้ แต่ดันไม่ค่อยว่าง เลยไม่ได้เขียน (ที่จริงก็ยังไม่ว่างดีนะ แต่อยากเขียน)
BEAUTY : บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน)

ที่ผมสนใจนะครับ

  • อย่างที่รู้กัน สำหรับคนที่ทำ five force หุ้นค้าปลีกเป็นอะไรที่สุดยอดแล้ว 
  • ธุรกิจที่ทำแล้ว ยังไงก็ตายยาก ถ้าไม่ทำแย่จริงๆ คือธุรกิจที่เกี่ยวกับอาหาร และธุรกิจความงาม 
  • เวลาที่เศรษฐกิจแย่ ธุรกิจความงาม ยังอยู่ได้ เพราะ ผู้หญิงอย่าหยุดสวย
  • กำไรขั้นต้นสูงมาก อัตรากำไรก็ดี (แต่ก็เป็นข้อเสียที่ อัตรากำไรดีด้วย)
  • ตัวธุรกิจยัง "เล็ก" อยู่ ทำให้มีโอกาสขยายตัวได้อีกเยอะ (อย่างน้อยๆ ก็ 20% ติดกัน 5 ปี)
  • เมื่อเทียบกับ Oriental Princess และ ร้านอื่นๆ ยังสามารถเติบโตได้อีก
  • สินค้าทั้งหมดในร้าน เป็นของเครือ Beauty (แต่เป็นชื่อบริษัทย่อยในเครืออีกที) 
  • ไม่มีแฟรนไซส์ (ที่ชอบเพราะการมีแฟรนไซส์ ทำให้ควบคุมลำบาก เท่าที่เห็น มีแค่้ 7-11 ที่ดูดีจริงๆ ส่วนแฟรนไซส์ ของกลุ่มนี้ สุดท้ายมักลงเอยไม่สวย เช่นขายตัดราคา แอบเอาของปลอมมาวางในร้าน ที่แย่ที่สุดก็ เอาสินค้าเดิมมาผสมอะไรเพิ่ม เพื่อทำให้เยอะขึ้น แต่คุณภาพแย่ลง)
  • มีแผนการลงทุนต่างประเทศ 
  • เคยไปฟัง ผบ วิสัยทัศน์ "ดี" (ความเห็นส่วนตัว เดียวเขียนทีหลัง)

แต่ก็มีความเสี่ยง ด้วย

  • เนื่องจากธุรกิจกลุ่มนี้ ถ้าไม่มีการโปรโมต โปรโมชั่น กระตุ้นตลาด สำรวจตลาด มีอะไรใหม่ๆตลอดเวลา
  • คู่แข่งเยอะ ใครก็เข้ามาแข่งในตลาดนี้ได้ แต่การที่จะทำให้อยู่นานๆ ยาก และการที่จะขยายธุรกิจ มันก็ยิ่งยากเข้า่ไปใหญ่ (เป็น five force มากกว่า)
  • การที่มีคนไม่ชอบ หรือไม่ถูกใจ แค่คนเดียว อาจเป็นหายนะเลย เพราะคนคนเดียว แต่เขียนบนอินเตอร์เน็ต ผลกระทบมันจะแรงมาก
  • ธุรกิจกลุ่มนี้ เราเข้าใจลำบาก ถึงจะพยายามลองเอาครีมทาหน้าดู แต่ก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่ และปัญหาอีกอย่าง แฟนผมไม่แต่งหน้า (ขนาดซื้อให้ฟรียังไม่เอา บอกเอาเงินไปซื้อหุ้นดีกว่า) 

===============================

มาดูหุ้นในแบบของผมล่ะักัน

ประเภทหุ้น

หุ้นโตเร็ว (Fast growers) บริษัทขนาดเล็กขนาดกลางที่มีอัตราการเติบโตที่สูงมากประมาณ 20 -25% ต่อปี เป็นหุ้นที่เหมาะจะถือในระยะยาว

ก็แน่นอนล่ะ ธุรกิจมันไม่ใหญ่มาก ปี55 มีประัมาณ BB 146 + BC 31 สาขา ปี56 เป้าหมาย BB 180 + BC 50 สาขา รวมเพิ่มประมาณ 53สาขา โดยรวมแล้ว ถ้ายังสามารถเปิดได้ อีกปีล่ะ 50 สาขา ไปสัก 4-5 ปีได้ มันก็ยังไม่น่าเกลียด 

ส่วนนี้ยังไม่รวม การขาย MN ในห้างค้าปลีก (เป้าหมายรายได้ประมาณ 10%) การเปิดในต่างประเทศ แล้วการเปิดร้านใหม่ใหญ่กว่าเดิมนะครับ

ปล. 
BB  beautybuffet
ฺBC  beautycottage
MN made-in-nature

เรื่องของสินค้า การซื้อการขาย ลูกค้า คู่ค้า

1 สินค้าที่ใช้แล้วหมดไป

พวกสินค้ากลุ่มนี้ ใช้แล้วหมดไปอยู่แล้ว เป็นกึ่งๆของสิ้นเปลือง แต่ขาดไม่ได้สำหรับผู้หญิงเกือบทุกคน และผู้ชายบางคน
แต่ก็ไม่ได้หมดไปทั้งทีนะ เพราะก็ใช้เวลาอยู่ ในการที่จะหมดไปเป็นรอบๆของมัน ที่ผมใช้อยู่ สบู่นมวัวหอมๆ ก็คาดว่าประมาณ 1ไตรมาส ก็หมดพอดี ส่วนนี้คิดว่าคงกลับไปซื้อใหม่ แต่อยากลองนมแพะดูบ้าง 

2 สินค้าทดแทน

ค่อนข้างเยอะ ไม่สิ เยอะมากๆ เรื่องนี้ถึงเป็นปัญหาหลักของสินค้าำกลุ่มนี้เลย การที่มีโปรโมชั่น โปรโมท ตลอดเวลา รวมถึงการสร้างแบรน ที่ทำให้ดูดี ตั้งแต่เข้าร้านมาดูสินค้า จนออกจากร้านไป

3 สินค้าที่มีแบรน และคนซื่อสัตย์ในแบรนด้วย

สำหรับกลุ่มนี้ ผมเคยไปคุยกับคนที่อยูี่ในวงการนี้ (เป็นคู่แข่ง) เขาบอกว่า เขาทำแบรนเยอะมาก เพราะขอให้แบรนดังสักแบรนนึง จาก 100 แบรนที่ทำมา ก็รวยได้ นอกจากนั้น การทำแบรนเดียวกันหมดเลย ทำให้สินค้าดูเกรตต่ำลงด้วย 

สำหรับบิวตี้ มันพึ่งเริ่มต้นมาไม่นาน การหาลูกค้าใหม่ ให้ลูกค้าเก่าเข้า่มาซื้อซ้ำมันเป็นเรื่องที่ต้องมานั่งลุ้นกลับบริษัท ลองไปฟัง Oppday ดู 13มีนา ครับ 

4 อำนาจในการต่อรองจากซัพพลายเออร์

ถึงบิวตี้ เป็นคนทำสินค้าเองทั้งหมด เพื่อมาขายเองทั้งหมด แต่บิวตี้เองก็ไม่ได้ทำเองจริงๆ บิวตี้ไปจ้างโรงงานทำ โดยให้เซ็นรับด้วยว่า ห้ามขายสูตร และโรงงานที่บิวตี้ติดต่อให้ทำ ก็เป็นโรงงานมาตรฐานสูงของต่างประเทศโดยตรง หรือไม่ก็ทำสินค้าให้กับแบรนดังๆ นอกจากนั้น ยังมีโรงงานที่บิวตี้ฝากให้ืืืทำให้หลายโรงงานอยู่ ทำให้เราควบคุมต้นทุนได้ดีั ทำให่้สบายใจได้

5 อำนาจการต่อรองจากลูกค้า

ลูกค้าเป็นรายย่อย อำนาจต่อรองต่ำอยู่แล้ว แต่ไม่เด็ดขาด เพราะมีหลายเจ้าหลายแบรนมาก 

6 การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม

ดุเดือดแท้เหลาครับ คงไม่ต้องพูดเลย 

7 การเข้ามาแข่งขันของผู้เล่นรายใหม่

มีทุกวันเลยก็ว่าได้ ทั้งแบรน์ใหม่ ของเลียนแบบ ของก๊อป 
การที่คนใหม่จะเข้ามาทำธุรกิจ ไม่ยาก ง่ายครับ แต่การที่จะอยู่ให้นานๆ และการที่จะขยายกิจการ มันไม่ใช่หรือง่ายๆเลย คล้ายธุรกิจอาหาร ที่เข้าง่าย ออกง่าย 

คนส่วนใหญ่คิดว่า ต้องราคาถูก สินค้าต้องดี หรืออาหารต้องอร่้อย แต่ที่จริง มันคือ ระบบ ต้องดี 

8 วัตถุดิบ การสินค้าโภคภัณฑ์

ที่จริงก็มี ขวดพลาสติก กับสารเคมีบางอย่าง แต่เนื่องจากต้นทุนต่ำมาก ทำให้มีผลกระทบน้อย 
สำหรับส่วนนี้่ผมเลยตัดทิ้งไป

9 โอกาสการเติบโตของสินค้า บริการ

โดยรวม ตลาดความงาม ไม่เคยหยุดโต เพราะเด็กเริ่มใช้เครื่องสำอางเร็วขึ้น รวมไปถึงผู้ชายที่เริ่มแต่งหน้าทาปากมากขึ้น

และตลาดรวมใหญ่มาก ใหญ่จนกระทั้งมีพื้นที่อีกเยอะ ให้ขยายตัว


==========================งบการเงิน====================================
ส่วนของงบการเงิน ดูค่อนข้างง่ายมากครับ ลองไปดู 

รายได้ส่วนใหญ่ ก็มาจากการขายสินค้า 

ต้นทุนสินค้า ราวๆ 29%
ต้นทุนการขาย ราวๆ 30%
ต้นทุนบริหาร 11%

กำไร ราวๆ 30%
ภาษี ราวๆ 6% (ภาษี 20% ปี 56) << กำไรมัน 30% ของรายได้ ภาษีมัน 20% ของกำไร ดังนั้นคิดได้ 6%

คาดการณ์ได้ง่ายมาก 
งบกระแสเงินสดก็เหลือเฟือ ไม่มีปัญหา 

====================================================================

เรื่องของผู้บริหาร 

*อาจจะจำผิดบ้าง ขออภัย

ได้มีโอกาสไปฟัง ผบ พูดมา ประวัติว่า เริ่มมาได้อย่างไร แล้วต่อยอดมาเรื่อยๆ ได้รู้จักคนเรื่อยๆ จนกระทั้งที่เขาเอาเข้าตลาด เขาอยากให้มีคนช่วยบริหาร และอยากให้ลูกหลาน มีหุ้นอยู่ได้ตลอดไป (ถ้าจำไม่ผิดนะ) 

ตั้งแต่เอาหุ้นเข้าตลาดมา ยังไม่เคยขายเลย (ที่บอก เดียวรอดูก่อน) ค่อนข้างห่วงหุ้นที่ถืออยู่เหมือนกัน ส่วนเรื่องสินค้า มีการเปลี่ยนรูปแบบทุกๆ 2-3ปี โดยจะวนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทีล่ะอย่าง ส่วนที่เปลี่ยนอาจเป็นรูปแบบผลิตภัณฑ์ หรือเปลี่ยนผลิตภัณฑ์เลย เพื่อเพิ่มราคาได้โดยลูกค้าไม่ทันรู้ตัว (เดียวเพิ่มนู้น เดียวเพิ่มนี่)

ส่วนเรื่องการขยาย จะขยายทั้งเรื่องร้าน เรื่องสาขา เรื่องสินค้า ทุกทาง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งและกินลูกค้าทุกระดับ ด้วยร้านหลายรูปแบบ

ส่วนการออกไปขายในต่างจังหวัด ค่อนข้างดีกว่าที่คาดมาก เพราะคู่แข่งน้อย (คู่แข่งกลัวขายไม่ได้) และทำให้แบรน BB ถูกอัพเป็นระดับ กลาง-บน แทน (ในกทม เป็นระดับ กลาง-ล่าง) นอกจากนั้น ค่าเช่าที่ ถูกมากๆ บางที่เดือนล่ะ หมื่นกว่าบาท ขายไม่กี่วันก็ได้แล้ว

ทุกสาขา ไม่เคยขาดทุน แถมเกินยอดที่ตั้งไว้ทุกเดือน พนักงานมีความสุขดี ไม่ต้องกดดันมาก

ส่วนเรื่องเฟรนไซส์ ไม่คิดจะทำ เพราะปัญหาเยอะ ซึ่งผมเห็นด้วยนะ เพราะควบคุมคุณภาพยาก (มี VI และคนรู้จัก ขอไปทำเยอะ)

เรื่องไปต่างประเทศ ก็เริ่มไปคุย วางแผนแล้วด้วย เพราะต่างประเืทศ มีกำลังซื้อแฝงเยอะ ที่มีอยู่ร้านนึง ที่ต่างประเทศ ก็ยอดขายดี ไม่มีปัญหา

เรื่องค่าแรง 300 ก็เพิ่มไปหมดแล้ว ทั่วประเทศเลย นอกจากนั้น พนักงาน ก็ไม่มีการเข้าออกมาด้วย

ที่จำได้นะครับ

==========================================

ลองเวลูเอชั่น ขำๆดู

รายได้จากการขาย
ตั้งสมมุติเล่นๆ เปิดสาขาได้ปีล่ะ 50 สาขา ทุกปี
สาขาเก่า SSSG โตเติบ ปีล่ะ 9%
สาขาใหม่ทำรายได้ 80% ของสาขาเก่าๆ

ต้นทุนการขาย 29% (แนวโน้มอนาคต น่าจะลดลงมากกว่า)

ดอกเบี๊ยรับ น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะบริษัทรับเงินสดเยอะ แต่ปัญหาคือ คาดการณ์ไม่ได้ แต่นิดเดียว ช่างมัน
รายได้อื่นๆ ให้ 10% ทุกปีล่ะกัน เอาฮาๆ

รายจ่าย
ค่าพนักงาน เพิ่มประมาณตามสาขาที่เพิ่มขึ้น และมีส่วนที่เพิ่มจากปี 55 ด้วย (เห็นว่ามีการจ้างมืออาชีพเยอะ)
ค่าเช่าที่ บริการ เพิ่มตามจำนวนสาขา และที่เดิมเพิ่มปีล่ะ 5%
ค่าโฆษณา เพิ่มตามสาขา
ค่าอื่นๆ เพิ่ม 20%ต่อปี
ค่าใช้จ่ายในการบริหาร เพิ่ม 13% ต่อปี

ภาษี 20%

ขำๆนะครับ ยังไงก็ลองดูเป็นตัวอย่างนะครับ