1.ผมได้ยินบางท่านบอกว่าหุ้นไทยจะเล่นให้รวยต้อง
เล่นหุ้น commodity เพราะว่าบริษัทดีๆในเมืองไทยมันน้อย
เสี่ยหลายคนเองก็รวยมาจากหุ้น commodity
เช่นได้ atc หรือบางคนก็ได้ ptt
ดูๆแล้วถ้าอยากเล่นหุ้นให้ได้ อย่างน้อย 10 เด้งภายใน 5 ปี
แล้วไม่เล่นหุ้น commodity แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยใช่หรือไม่
- หุ้นที่ไม่ใช่ commodity แล้วขึ้นหลายๆ เท่าในหลายๆ ปีที่ผ่านมาก็เช่น MINT BOL SNC BGH RAM TICON ฯลฯ ดังนั้นแม้จะไม่ได้ลงทุนในหุ้น commodity ก็ยังพอจะหาหุ้นที่มีผลตอบแทนที่ดีได้อยู่ในระดับหนึ่งครับ ส่วนถ้าจะเอาเป็น 10 เด้งเลยนั้นก็มีความเป็นไปได้มากกว่าที่หุ้นเหล่านั้นจะเป็นหุ้น commodity แต่ก็คงจะต้องเป็นการซื้อช่วงที่ธุรกิจผ่าน bottom มาไม่นานแล้วกำลังฟื้นตัว แต่ถ้าเป็นการซื้อ ณ ราคาปัจจุบันผมไม่คิดว่าจะมี commodity ตัวไหนที่จะขึ้นได้หลายๆ เท่าจากราคาปัจจุบันครับ และหลายๆ ตัวอาจจะเสี่ยงด้วยครับ ดังนั้นการที่เราจะรวยเพราะหุ้น commodity ได้ก็เพราะเราซื้อมันที่ราคาถูกมาก ดังนั้นก่อนที่มันจะถูกมากมันก็เคยแพงมาก่อน ดังนั้นหุ้น commodity ทำให้คนรวยได้แต่ก็ทำคนเสียหายได้มากเช่นกันครับ
2.พี่ ih คิดว่าเพราะอะไร warren buffet จึงไม่เขียนหนังสือเหมือน
ปีเตอร์ลิน และ จอร์เนฟ
- ผมคิดว่าที่แกเขียน letter to shareholder ของ Berkshire ก็เสมือนการเขียนหนังสือได้หลายๆ เล่มแล้วนะครับ รวมไปถึงสิ่งที่ Buffet พูดและตอบคำถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้นก็เช่นกัน ดังนั้นหากเราอ่านหนังสือของคนที่มีชื่อเสียงเช่น คุณตัน หรือคุณวิกรม เค้าก็ไม่ได้เขียนเองนะครับ กรณีคุณตันมีคุณสรกล จากสำนักพิมพ์มติชนเรียบเรียงคำพูดและภาษาให้ ส่วนคุณวิกรมมีคุณประภัสสร เสวิกุล เรียบเรียงให้ ดังนั้นหนังสือที่เกี่ยวกับ Buffet ที่เราอ่านกันนั้นก็เป็นการสรุป idea ที่ Buffet เขียนใน letter และการพูดในที่ต่างๆ มาเรียบเรียงให้เราอ่านกันนั่นเองครับ ดังนั้นหนังสือเกี่ยวกับ Buffet ที่เราอ่านก็ไม่ต่างจากหนังสือของคุณตันหรือคุณวิกรมครับเพียงแต่หนังสือของคุณตันและคุณวิกรม เราอาจจะรู้สึกว่าเป็นหนังสือที่เค้าเขียนเองเท่านั้นเองครับ
3.พี่ ih ครับ หลักการลงทุนมักจะบอกว่ากองทุนชอบออกกองมาระดมเงิน
เมื่อสิ่งที่จะไปลงทุนขึ้นมาเยอะมากแล้ว เช่น กองทุนจีน กองทุนสินค้าเกษตร
ถ้าแนวคิดนี้เป็นจริง นักลงทุนอย่างเราๆก็แทบจะไม่ตอ้งซื้อกองทุนเลยใช่หรือไม่
อย่างมากคงเล่นได้แค่ลงหนักแล้วซื้อเผื่อเด้ง
ตัวพี่เองเคยมีประสบการณ์เล่นกองทุนยังไงบ้างครับ
- กองทุนเหมาะสำหรับผู้ที่สนใจการออมและการลงทุนและไม่มีเวลาเพียงพอที่จะศึกษาการลงทุนที่เพียงพอครับ ผมเองยังเห็นว่าผมยังพอมีเวลาเพียงพอจึงยังไม่ได้มีโอกาสไปใช้บริการกองทุนครับ และผมเองก็ไม่ได้มีความคิดที่จะถือหุ้น mkt cap ใหญ่บางตัว เช่น หุ้นธนาคาร หุ้น SCC SCCC TPIPL CK ITD ดังนั้นผมคิดว่าผมจึงอยากกระจายการลงทุนเองมากกว่าครับ
ส่วนเรื่องการออกกองทุนตอนที่ขึ้นมาเยอะนั้นก็คงเป็นเพราะผู้ลงทุนสนใจ track record หรือผลตอบแทนย้อนหลังกันมิใช่หรือครับ ก็เป็นไปได้ครับบางทีกองทุนเฉพาะกิจหรือเฉพาะเจาะจง เช่น กองทุนจีน-อินเดีย หรือหุ้นบาง sector อาจจะออกมาในช่วงที่หุ้นในกลุ่มนั้นๆ ก็ขึ้นมามากแล้วเหมือนกันดังนั้นควรจะศึกษาและวิเคราะห์ให้ดีก่อนลงทุนและอย่าคิดว่าผลตอบแทนในอดีตจะส่งผลถึงหรือเป็นหลักประกันของผลตอบแทนในอนาคต และอย่าคิดว่ากองทุนที่เค้าเอาหน่วยลงทุนมาขายให้เรานั้นเค้าคิดแทนเราให้ถี่ถ้วนแล้วครับ
4.คราวนี้ขอคุยเรื่อง expected value บ้างนะครับ มีคนบอกว่าวิธีตัดสินใจ
สมมุติว่า ในวันพรุ่งนี้จะมีการแถลงข่าวสำคัญของหุ้นตัวนี้ (เช่น แถลงผลประกอบการ เป็นต้น) คุณประเมินสถานการณ์แล้วสรุปได้ว่า
1. ความน่าจะเป็นที่ราคาหุ้นตัวนี้จะกลายเป็น 20 บาทหลังข่าวออกมาเป็นข่าวดีเท่ากับ 0.5
2. ความน่าจะเป็นที่ราคาหุ้นตัวนี้จะกลายเป็น 5 บาทหลังข่าวออกมาเป็นข่าวร้ายเท่ากับ 0.5
โดยที่หุ้นอยู่ 10 บาท
และมีคำตอบว่า คำตอบที่ถูกต้องคือควรซื้อ ก่อน
เหตุผลก็คือ expected value เป็นบวก 10*0.5-5*0.5= +2.5 นั้นแหละครับ
จริงๆแล้ว case แบบนี่ พี่ ih ประยุกต์มาใช้ในตลาดหุ้นมากน้อยแค่ไหนครับ
ผมมองว่าวิธีนี้น่าจะเหมาะกับ หุ้น ประมูล รับเหมา ก่อสร้างมากกว่า
วิธีแบบนี้น่าจะเป็นแนวคิดของพวก hedge fund พี่ ih มีความเห็นยังไง
- คงไม่ค่อยกล้าคิดแบบนี้และคงไม่ค่อยกล้าลงทุนในหุ้นแบบนี้ด้วยครับเพราะถ้าทุน 10 แล้วไปขายหุ้นทิ้งที่ 5 นั้นหากต้องการให้เงินกลับไป 10 เหมือนเดิมต้องหาหุ้นที่ได้ผลตอบแทน 100% ซึ่งผมว่าหายาก ณ ภาวะปัจจุบัน ดังนั้นผมยังคิดว่าการรักษาเงินลงทุนเป็นเรื่องสำคัญครับและแนวคิดนี้ก็คงเป็นแนวคิดของ hedge fund เพราะผู้บริหาร hedge fund จะมีส่วนแบ่งเป็น % ของกำไร แต่ตอนขาดทุนไม่ต้องแบ่ง ดังนั้น hedge fund จึงกล้านำเงินคนอื่นมาเสี่ยงมากกว่าครับเพราะมีแต่ได้กับเสมอตัว
5.หลายคนมีความเชื่อว่า buffet เวลาซื้อหุ้นจะดู dca และถือตลอดชีวิต แต่ว่าการที่
Buffet ไปซื้อหุ้น น้ำมัน หรือซื้อเหล็ก ซึ้งก็ไม่ใช่ของ มี brand แสดงว่าทุกวันนี้
Buffet ยังใช้หลักกาลของ graham อยู่ ใช่หรือไม่
- คงไม่ใช่หลักของ Graham แต่เป็นการอ่าน trend ระยะยาวของ Buffet มากกว่าครับ บางทีเราอาจจะเข้าใจตามหนังสือเขียนว่า Buffet จะต้องลงทุนในหุ้นที่ DCA สูงเท่านั้นแต่ที่ผ่านมา Buffet ก็มีการลงทุนหลากหลายอยู่เหมือนกันครับ และหุ้นหลายๆ ตัว Buffet ก็ขายไปหากได้ผลตอบแทนที่ดีพอและ Buffet ราคาเริ่มแพงไปและไม่ใช่หุ้นที่จะถือไปตลอดได้เหมือน Coke หรือยิลเลตต์
6.สมมุตินะครับว่า หุ้นกลุ่ม modern trade มีคนบอกว่า อยู่ wave 5 ของ.elliot wave
ซึ้งน่าจะตามมาด้วย a b c ซึ้งก็คือน่าจะใกล้ peak พอดีคนๆนั้น เป็นนักดูกราฟที่เก่งที่สุด
พี่ ih จะทำยังไงครับ ถ้าพี่มองว่า มันเป็น megatrend ของ ค้าปลีก มันดูขัดกันน้าครับ
- คงจะให้ความเห็นอะไรไม่ได้มากครับ ปกติแล้วหุ้นบางตัวก็นับ wave ไม่ได้ครับ หรือบางทีหุ้นที่ขึ้นแรงจริงๆ อาจจะขึ้นเป็น 9 wave ก็ได้หรือ a b c นั้นอาจจะ flat หรือเป็น running corrective ก็ได้นะครับ เห็นไหมครับว่าเวลาหุ้นมันจะขึ้นต่อทางเทคนิคก็สามารถอธิบายได้นะครับ แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นค้าปลีกจะต้องขึ้นไปเรื่อยๆ นะครับเพราะการเป็น megatrend นั้นหมายถึง time frame ระดับ 15-25 ปีซึ่งระหว่างทางต้องมีการปรับตัวของราคาหุ้นอยู่แล้วครับ อย่างหุ้น รพ. ผมคิดว่าที่ผ่านมา technical ก็คงไม่ค่อยสวยเท่าไหร่เพราะลงมาจาก peak ไปพอสมควรแต่ผมก็ยังคิดว่ายังอยู่ใน megatrend อยู่เช่นกัน
7.พี่ ih คิดว่า vi สามารถประยุกต์ ใช้ แนวคิดของ trader ได้มากน้อยแค่ไหนครับ
พวก trader มองว่า ซื้อแล้วลงเกิน 2-5% ก็ cutloss เลย แต่ถ้าหุ้นขึ้นเขาจะให้มันขึ้นไปเรื่อย
ๆ พอหุ้นเริ่มลงค่อยขายออกทั้งหมด ซึ้งดูเหมือนมีหลายคนใช้แล้วประสบผลสำเร็จ
แค่หลักการแบบนี้มันคัดกับหลักกาลของ buffet ซึ้งบอกว่า หุ้นยิ่งมี mos ก็ยิ่งดี จะไปขายทำไม
เลยอยากถามว่าพี่มีความเห็นยังไง
- ทั้ง 2 แนวทางก็มีคนที่ประสบความสำเร็จครับ นักมวยที่เป็นแชมป์โลกและมีชื่อเสียง จะชกแบบเดินหน้าลูกเดียว ไมค์ ไทสัน จอร์จ โฟร์แมน หรือจะชกแบบชั้นเชิงแบบ ชูการ์เรย์ เลียวนาร์ด หรือโมฮัมมัด อาลี ก็ได้ครับ เพียงแต่เลือกแนวทางการลงทุนที่เหมาะกับความสามารถและจริตของเราครับ ผมคิดว่าถ้าให้จอร์จ โฟร์แมน ชกแบบเต้นติ๊ดชึ่ง โบยบินเหมือนผีเสื้อแบบโมฮัมมัด อาลี เค้าคงไม่เต็มใจหรือให้ทำก็ไม่รุ่ง ดีไม่ดีไปเป็นโฟร์แมนคุมไซค์งานก่อสร้างจะดีกว่าด้วยซ้ำไปครับ
8.พวกกลุ่ม contrarian บอกว่าให้ซื้อหุ้นให้ได้ที่ราคา -3sd (standard variation) ไม่จบสถิติเลยไม่เข้าใจ ว่า -3sd นี้คิดมาจากไหนเหรอครับ และที่ราคาตรงนั้นมัน safe จริงหรือครับ
- ผมก็ไม่ได้จบสถิติมาแต่ได้เรียนมาบ้างแต่ก็ลืมไปแล้ว เท่าที่จำได้คือ -3sd ก็แปลง่ายๆ ว่าลงมาเยอะมากจริงๆ ครับ แต่หุ้นบางตัวเช่น RICH METRO THAI TPIPL CEI QCON CCP UMI ฯลฯ ลงมาผมคิดว่าน่าจะถึง 3sd แล้วแต่คำถามคือน่าซื้อรึเปล่าผมเองก็ไม่แน่ใจครับ แต่ที่แน่ๆ หุ้นธนาคารอย่าง BMB BBC หรือหุ้น finance หลายตัวก่อนถูกปิดราคาอาจจะลง 3sd กันส่วนใหญ่ แต่ contrarian ยุคนั้นก็อาจจะได้ใบหุ้นเป็นที่ระลึกแทนครับ
9.อาจารย์บัญชีของผมสอนผมว่าจะดูว่าหุ้นมี sustain value ไหมให้ดูจาก rona > wacc เพื่อดูว่ามี eva spread สูงขึ้นหรือไม่ แต่หุ้น banpu ตอนราคาต่ำๆ มี eva spread ติดลบ แต่หุ้นกลับขึ้น อยากถามดังนี้
9.1มีหุ้นหมวดไหนบ้างที่ไม่ควรดู eva spread
- Commodity ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลงครับ ตอน Banpu ราคา 30 บาท ก็มี broker ฝรั่งแห่งหนึ่งออก research มาแล้วแนะนำให้ขาย เหตุผลคือ Negative value added นอกจากหุ้น commodity ก็คงเป็นหุ้น economic cyclical ด้วยครับ
9.2หุ่นกลุ่มที่ไม่ควรดู eva spread เราจะวัด sustain value ด้วยวิธีไหน
- หุ้น commodity หรือ economic cyclical นั้นมันไม่ sustain อยู่แล้วครับ เราจึงไม่ควรไปวัดครับ หลักของหุ้นกลุ่มนี้คือ ซื้อถูก ขายแพง หรือซื้อตอนที่ตกต่ำมากๆ หรือผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ( แต่ต้องมั่นใจว่ามันจะไม่เจ๊ง ) และขายตอนที่คนส่วนใหญ่เห็นว่ามันดีหรือ cycle ขาขึ้น
10.การที่ บ.ล.ซื้อหุ้นคืน จะทำให้ d/e สูงขึ้น และจะส่งผลให้ wacc สูงขึ้นด้วยหรือไม่
-ถ้าการซื้อหุ้นคืนไม่ทำให้ต้องกู้เงินเพิ่มก็ไม่ทำให้ wacc สูงขึ้นครับ แต่ถ้าทำให้กู้เพิ่ม และ d/e สูงขึ้นก็ทำให้ WACC ในทางทฤษฎีสูงขึ้นครับ
10.2 บริษัทที่มี boi เราจะคำนวณ wacc ยังไง
- นั่นน่ะสิครับ เพราะดอกเบี้ยจ่ายของ บ. ที่ได้ BOI นำไปลดภาษีไม่ได้เพราะไม่ต้องจ่ายอยู่แล้ว ฝากคุณ Hongvalue ไปถามผู้รู้มาให้หน่อยนะครับ
10.3 มีคนบอกว่า wacc นั้น ส่วนของหนี้จะต้นทุนถูกกว่า ส่วนของทุน บริษัทที่ไม่ใช่หนี้เลยใช้แต่ทุน
จะส่งผลให้ wacc สูงกว่าบริษัทที่มีหนี้บ้าง แต่ถ้าหนี้สูงถึงจุดนึง จะทำให้ wacc สูงขึ้นเพราะเสี่ยงที่จะ
ล้มละลาย ประเด็นคือ เราจะวัดได้อย่างไรว่าจุดไหนของการใช้หนี้ที่น่าจะทำให้ wacc สูงขึ้น
- ในทางทฤษฎีถ้าหนี้สูงมากๆ มันจะสะท้อนที่ beta ของหุ้นครับ อย่างหุ้นที่มีหนี้มากๆ เมื่อเทียบกับทุนหรือกำไร เช่น TRUE ก็ควรมี beta สูง แต่เรื่องหนี้เยอะแล้ว wacc จะต่ำลงในทางทฤษฎีผมไม่ค่อยเชื่อถืออยู่แล้วครับ และคิดว่า beta ก็ไม่ใช่ตัวเลขที่จะสะท้อนความเสี่ยงได้ดีเท่าใดนัก
11.valuation ของหุ้นกลุ่ม property พี่ ih จะใช้วิธีไหน ดีครับ เพราะคงไม่เหมาะที่จะใช้ pe
เนื่องจาก sg&a แปรผันตามยอดขาย อาจทำให้กำไรปีปัจจุบันต่ำเกินจริง และการใช้ dcf ก็คงจะ
ไม่เหมาะ เพราะระยะยาวมีความไม่แน่นอนสูง
- คงดู p/e ประกอบกับ p/bv ครับ รวมไปถึงทั้ง ROA Asset turnover inventory turnover และ dividend yield และเห็นด้วยว่าถ้าเป็น property ที่สร้างเพื่อขายนั้นไม่ควรใช้ DCF ครับ การ valuation หุ้น property แบบ residential นั้นก็ทำได้ยากครับ หลักๆ คงใช้ p/e ก่อนแล้วดูว่าบริษัทนั้นๆ มีแนวโน้มโตเพิ่มขึ้นหรือจะถดถอยลง ก็ต้องอาศัยการทำการบ้านหาข้อมูลในเชิงเปรียบเทียบมากอยู่เหมือนกันครับ
12.การทำ valuation ด้วยวิธี ddm ควรใช้กับหุ้นตัวไหนเช่น makro ปันผลมากกว่า bigc ถ้าทำ dcf
Bigc อาจจะราคาสูงกว่า แต้ถ้าทำด้วยวิธี ddm makro อาจจะราคาสูงกว่า และหุ้นอย่าง se-ed ควรทำ
Dcf หรือ ddm
- ทำทั้ง 2 วิธีก็ได้ครับ แต่ DDM ผมคิดว่ามัน conservative เกินไปครับ ถ้าเอาหุ้นที่มีรายได้มั่นคงแต่ละตัวมาทำ DDM ผมคิดว่าเราอาจจะแทบจะซื้อหุ้นไม่ได้เลยแม้ราคาปัจจุบันก็ได้ครับ แต่ก็มี point ที่ดีครับ ถูกต้องเลยครับถ้าทำ DDM หุ้น Makro จะน่าสนใจกว่าเพราะปันผลมากกว่า แต่ถ้าทำ DCF หุ้น BigC จะน่าสนใจกว่าเพราะมี depre มากกว่า และมี growth มากกว่า ดังนั้นหากทำทั้ง 2 วิธีแต่เพื่อใช้เปรียบเทียบครับแต่ไม่ควรเอา DDM ไปใช้
12.2ผมคิดว่าหุ้นที่ปันผลมากกว่า 80% ของกำไร หรือมากกว่า 6% ควรใช้ ddm ไม่ทราบว่ามีความเห็นอย่างไร
- DDM น่าจะเหมาะกับหุ้นที่ปันผล 100% ของกำไรครับหรือไม่ต่ำกว่า 90% ครับ แต่ valuation ที่ได้ก็อาจจะทำให้เราก็ไม่ค่อยอยากซื้อหุ้นตัวนั้นเท่าไหร่ครับ แต่ก็ใช้ดูเป็น conservative หรือ worst case ได้ครับ
13.อยากให้พี่ ih ช่วย guide ว่าการเขียนบทวิเคราห์ที่ดีนั้นควรจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง เช่นมี five force
Swot,earining forecast
- ถ้าเป็นบทวิเคราะห์ในเชิงการทำรายงานทั่วไป ก็มี five force SWOT ก็น่าจะเป็นพื้นฐานที่ควรจะมี แต่ถ้าเป็นบทวิเคราะห์หุ้นถ้าจะมาวิเคราะห์ five force หรือ Swot ก็คงจะยืดยาวไป น่าจะเป็นการสรุปประเด็นหลักๆ ของ five force และ swot ออกมาโดยไม่ต้องยกทุกประเด็น และไม่ควรลอก 56-1 มาแปะเพราะนักลงทุนสมัยนี้อ่าน 56-1 เองได้ เนื้อหาจึงควรเป็น fact บวกด้วยความเห็นของนักวิเคราะห์มากกว่า และนักวิเคราะห์ควรจะแตกฉานเรื่องการทำ valuation ในระดับหนึ่งว่าหุ้นกลุ่มที่ตนเองวิเคราะห์อยู่ควรจะใช้ valuation แบบไหน ถ้าเราได้อ่านบทวิเคราะห์หุ้นตัวหนึ่งๆ ของซัก 4-5 สำนักวิจัย เราจะเห็นเองครับว่ารูปแบบไหนที่อ่านแล้วไม่ได้ add value กับเรา และแบบไหนที่เราเห็นว่าเค้าเขียนได้ดี
14.อ่านบทวิเคราห์ รศ.ดร. สมถพ มานะรังสรรค์ เค้าบอกว่า gdp จีนคิดเป็น 6% ของ gdp โลกแต่จีนมีประชากร 20% ของโลก ไม่แน่ใจว่าเขาจะสื่อว่า gdp ของจีนควรเป็น 20% ของโลกหรือไม่ ขอความเห็น
- คงจะสื่อว่า น่าจะมี room ให้โตจากระดับ 6% ในปัจจุบันครับ ส่วนจะโตเป็น 20% ได้ไหมผมคิดว่ามีปัจจัยหลายๆ อย่างซึ่งเป็นปัจจัยในอนาคต แต่สิ่งที่เป็นตัวแปรที่สำคัญคือเสถียรภาพของรัฐบาลและคุณภาพของคนครับ ตอนก่อนวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ก็เคยมีคนพูดกันว่าถ้าเศรษฐกิจเราโตปีละ 8-10% อย่างนี้ไปเรื่อยๆ GDP ของเราจะแซงฝรั่งเศสในปี 2020 ดังนั้นอย่างที่บอกครับว่าคนที่ทำนายเช่นนั้นเค้าลืมใส่ตัวแปรเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาลและคุณภาพของคน โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาเข้าไปครับ
ดังนั้น ตอนนี้พวกเรานักลงทุนคงจะนั่งบ่นว่าหุ้นลง บ่นรัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้แล้วครับ คงต้องหาทางร่วมแรงกันคนละไม้คนละมือ ที่จะช่วยให้ประเทศไทยมีการพัฒนาที่ดีขึ้นทั้งระบอบการเมือง การศึกษา วิถีความคิดของคนส่วนใหญ่ เพราะถ้าปล่อยเป็นอย่างที่เป็นอยู่ GDP เราคงโตปีละ 4% และโตแบบไม่ค่อยมีคุณภาพคือคนรวยก็กระจุกตัว วันหนึ่งหุ้นอาจจะไม่ใช่การลงทุนที่ดีอีกต่อไปหากสังคมไทยแตกร้าวและแบ่งแยกกัน ปัญหาของประเทศไทยมันสะสมมานานเรื้อรังตอนนี้ประชาชนที่ดีที่ทำหน้าที่ของตนเอง ไม่ทำผิดกฎหมาย และเสียภาษี เท่านั้นเห็นจะไม่พอแล้วล่ะครับ ตอนนี้ประเทศเราเปรียบเหมือนหาดทรายที่เต็มไปด้วยเศษแก้ว เศษขยะ เราไม่ได้ต้องการคนที่ไม่ทิ้งขยะเท่านั้น แต่ต้องการคนจำนวนมากที่ช่วยกันเก็บเศษแก้ว เศษขยะขึ้นมาเพื่อให้หาดทรายเราสะอาด แม้ว่า ณ วันนี้เราอาจจะรู้สึกว่าเราเพียงคนเดียวเก็บขึ้นมาได้วันละ 3-4 ชิ้นทะเลจะสะอาดได้อย่างไร แต่ถ้าสิ่งดีๆ ต่างๆ ทุกคนช่วยกันทำสังคมก็จะดีขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัวครับ
No comments:
Post a Comment