1.อยากทราบรายละเอียดของคำที่พูด ih เคยพูด คำนั้นก็คือ
Low operating risk can have high financial risk
พี่ ih เคยบอกเบื้องต้นหุ้น high business risk คือหุ้นที่คุมชะตาชีวิตตัวเองไม่ได้ เช่น แบงค์ ส่งออก
ประมูล ของพวกนี้ขึ้นอยู่กับ เงินบาทบ้าง การเมืองบ้าง ส่วน low business risk
ก็เช่น ค้าปลีก โรงพยาบาลซึ้งราคาหุ้นมีปัจจัยที่ตัวบริษัท คุมได้เยอะ
แต่ประเด็นก็คือ1.1 หุ้นอย่างกลุ่มอสังห นั้นเราจะถือว่าเป็น low หรือ high business risk
เพราะว่าลดดอกเบี้ย อสังห คุมไม่ได้ กำลังซื้อก็คุมไม่ได้ และถ้าในกลุ่มอสังห เหมือนกัน หุ้นที่ทำ
คอนโดหมดอย่าง lpn กับ หุ้น อย่าง ps จะถือว่า ตัวไหน high business risk ถ้าดอกเบี้ยลด
กำลังซื้อหด คงกระทบไม่เท่ากัน
ตอบ หุ้นอสังหาฯ ถ้าสร้างเพื่อขายถือว่าเป็น high business risk ครับ เพราะยอดขายต้องนับ 1 ทุกปี แต่ถ้าเป็นอสังหาฯ ที่จับลูกค้าระดับกลางถึงล่าง นั้นถือว่าความเสี่ยงน้อยลงหน่อยตรงที่เป็นบ้านหลังแรก ที่แต่ละปีจะมี real demand ซึ่งเกิดจากความจำเป็นในการแยกครอบครัวออกมา ซึ่งสาเหตุหลักๆ คือการแต่งงาน ดังนั้นถ้าเศรษฐกิจไม่เลวร้ายระดับปี 41 ตลาดอสังหาฯ จะมี real demand อยู่ประมาณหนึ่งครับ ส่วน LPN และ PS ก็มีกลุ่มเป้าหมายเป็นระดับราคาประมาณ 0.7 – 2.0 ล้านบาท ซึ่งก็นับว่าเป็นบ้านหลังแรก ดังนั้นความเสี่ยงอาจจะไม่สูงนักครับ แต่ LPN จะเสี่ยงกว่าอยู่ตรงที่ LPN นั้นลูกค้าทุกคนต้องโอนตอนสร้างเสร็จทั้งโครงการ การเปิดโครงการจะไม่สามารถทยอยเปิดเป็นเฟสได้เหมือน PS ดังนั้นถ้าเศรษฐกิจไม่ดี PS จะปรับตัวด้วยการชะลอการเปิดโครงการได้ดีกว่าในขณะที่ LPN ถ้าเปิดขายโครงการไปแล้วก็ต้องลุยเดินหน้าต่อแล้วต้องไปลุ้นว่าตอนสร้างเสร็จแล้วลูกค้าจะมาโอนหรือไม่ ซึ่งตั้งแต่ขายถึงโอน LPN จะใช้เวลาประมาณ 0.6-1.5 ปี แต่ของ PS จะใช้เวลาน้อยกว่าคือประมาณ 3-4 เดือน
1.2 หุ้นอย่าง hmpro นั้นเราถือว่าเป็น Low operating risk can have high financial risk
หรือไม่เพราะว่า ธุรกิจเก็บเงินสด ไม่อิงประจัยภายนอกเกินไป แต่มี d/e ที่สูง แต่อีกมุมนึงบางคน
ก็บอกว่า hmpro กับ it ถือว่าคุมชะตาตัวเองไม่ค่อยได้นะครับ เพราะเศรษฐกิจไม่ดีพวกนี้ ปีที่แล้ว
Sss ติดลบเลย ถ้าเทียบกับพวก cpall makro จะบอกว่า hmpro it เป็น Low operating risk
ดีหรือไม่
- หุ้น HMPRO ถ้าเทียบกับค้าปลีกด้วยกันก็ถือว่ามี business risk สูงกว่า และสูงกว่า IT เพราะสินค้า IT นั้นบางส่วนเป็นการซื้อเพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันไม่ว่าในเชิงธุรกิจและการดำเนินชีวิต ดังนั้นแม้เศรษฐกิจไม่ดี แต่การซื้อสินค้า IT เพื่อสำนักงานเช่น คอมพิวเตอร์ พริ้นเตอร์ ยังต้องคงอยู่ หรือแม้การใช้ในบ้านเพื่อการทำงานหรือการศึกษาก็ทำได้แค่ชะลอการซื้อไปซักพักหนึ่งเท่านั้น อย่างถ้าเศรษฐกิจไม่ดี มีคนตกงาน การหางานใหม่เดี๋ยวนี้ก็ต้อง search ทาง internet ซึ่งคอมพิวเตอร์ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น ส่วนสินค้าแบบ hmpro น่าจะชะลอการซื้อได้ยาวนานกว่า IT
หากมอง operating risk ครอบคลุมตั้งแต่ความสม่ำเสมอของยอดขายและโครงสร้างการหมุนของเงินทุนหมุนเวียน HMPRO จะเสี่ยงในแง่ความผันผวนของยอดขาย แต่จะไม่เสี่ยงในแง่การรับเงินจากลูกค้าเพราะรับเป็นเงินสด ดังนั้น HMPRO น่าจะจัดอยู่ในระดับความเสี่ยงปานกลางหรือ moderate operating risk ครับ แต่ถ้ามีธุรกิจไหนที่ขายสินค้าแบบ HMPRO ทุกอย่างแต่ขายลูกค้าเป็นเงินเชื่อแล้วก็จะกลายเป็น high operating risk ทันที เพราะเมื่อเศรษฐกิจไม่ดีจะมีปัญหาทั้งเรื่องยอดขายที่ลดลงและลูกหนี้ที่ตามเก็บไม่ได้
2.คำว่า right for the wrong reason ที่พี่ ih เคยบอกนั้น ถ้าสมมุติว่าพี่รู้ว่า หุ้นเกษตรจะดี
แต่ไม่สามารถ คำนวณราคาที่เหมาะสม ได้ ก็จะถือว่า การซื้อเป็น wrong reason ทันทีเลยหรือ
ถ้าเรารู้ว่า kaset จะได้รับผลดี แต่ว่า ราคายังไม่ตอบรับอะไรเลย แต่เราไม่สามารถ คำนวณได้ว่า
Kaset จะมีรายได้โตเท่าไหร่ รู้แต่ว่าได้รับผลดี อย่างนี้จะถือว่า เป็น vi หรือไม่ ครับ
- กรณีนี้เราต้องมีข้อมูลที่เชื่อมั่นได้ว่าหุ้น KASET น่าจะได้ผลประโยชน์จากกรณีนีชัดเจนที่จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถ้าไปซื้อหุ้น Kaset เพียงแค่เห็นว่าราคาข้าวสูงขึ้นเท่านั้นผมคิดว่าข้อมูลที่เรามียังไม่พอครับ เพราะเราไม่รู้ว่าเค้าไปรับ order ส่งออกล่วงหน้าที่ราคาต่ำไว้หรือเปล่า ผมยกตัวอย่างช่วงหนึ่งที่ราคายางปรับเพิ่มขึ้นมาก แรกๆ หุ้น STA Trubb ก็กำไรดีมาก ไปๆ มาๆ บางไตรมาสขาดทุนเฉยเลย แม้ว่าไตรมาสนั้นราคายางยังดีก็ตาม ดังนั้นผมคิดว่าหุ้นที่เป็นลักษณะซื้อมาขายไปของสินค้า commodity การเกษตรนั้นคงจะดูแค่ราคาสินค้าไม่ได้เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าเค้าไปทำสัญญาล่วงหน้าอะไรไว้บ้าง
4.หุ้น bh ที่ราคาแถว 32-33 ผมก็มองๆอยู่เหมือนกัน มีประเด็นเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้อยากเรียนถามดังนี้
ปีที่แล้วมีกำไรจากการขาย โกเบิล แคร์ โซลุชั่นให้ Microsoft ประมาร 839 และบันทึกขาดทุนจาก
การด้อยค่า H 2000 370 ล้าน กำไรปีที่แล้วจึงควรจะเป็น net income -839+370 คือ 1136
ปัจจุบัน market cap 23000 ล้านที่ แต่ยังมีหุ้นกู้แปลงสภาพเกิด dulute อีก 24% เป็น 902 หุ้น
Pe ก็ 25 เท่า คิดยังไงๆ ก็ไม่น่าจะถูก
4.1 คุณ ih คิดว่า ราคาตรงนี้มองว่ายังแพง อยู่ไหม แล้วถ้าเทียบกับตึกใหม่ที่จะเปิดในเดือน เมย นี้ pe
ระดับนี้ถูกไหม
- ถ้าเทียบกับ growth ในระยะ 2-3 ปีนี้ที่ดูเหมือน growth จะเหลือเพียง 10-15% ต่อปีก็คิดว่าคงไม่ค่อยถูกมากนัก แต่ถ้ามองยาวๆ ว่าธุรกิจโรงพยาบาลจะโตได้ในระดับ 10-20 ปีจากนี้อย่างต่อเนื่อง ก็อาจจะเริ่มน่าสนใจ ดังนั้นถูกหรือแพงคงต้องดูว่าเรามีหุ้นตัวอื่นๆ ที่น่าสนใจในช่วง 2-3 ปีจากนี้ไปมากกว่า BH หรือเปล่า ส่วน p/e 25 เท่าถ้าถามกองทุนต่างประเทศเค้าก็ว่าไม่ถูกไม่แพงเพราะ p/e หุ้น รพ. ในภูมิภาคอย่าง Parkway Raffle ก็สูงกว่าหรือสูงประมาณนี้ครับ ส่วนตึกใหม่ของ BH นั้นปัญหาคงอยู่ที่จำนวนลูกค้าต่างชาติในช่วง 1-2 ปีนี้เพิ่มน้อยกว่าที่เค้าคาดไว้พอสมควรจึงทำให้ utilization rate ของตึกใหม่ยังไม่ค่อยมากและความจำเป็นที่จะต้องรีบย้าย facility จากตึกเก่าไปตึกใหม่เลยยังไม่ต้องรีบเร่งมากนัก
4.2คุณ ih มองเกี่ยวกับ บริษัทที่ต่างประเทศของ bh เช่น bh ดูไบ และศุนย์โรคไต รีนับ แคร์ ฮ่องกง
ว่า จะสามารถ ช่วยสร้าง growth ให้ bh ได้มากน้อยแค่ไหน
- เรื่องศูนย์ไตผมเองไม่มีข้อมูลเลยครับ แต่สาขาที่ดูไบ ผมยังมองไม่ออก ถ้ามองในแง่ดีก็เป็นการไปหาลูกค้าถึงที่ และน่าจะสร้างฐานลูกค้ามากขึ้น แต่ถ้ามองในแง่ลบก็คือ มันอาจจะลดจำนวนและความจำเป็นที่ลูกค้าจะต้องบินมารักษาเมืองไทย ซึ่งตรงนี้ BH อาจจะเสียประโยชน์เพราะ BH ถือหุ้นใน BH ดูไบไม่ถึง 50% ดังนั้นผลประโยชน์ที่ BH ได้รับจากลูกค้า 1 คนที่มารักษาที่ BH ดูไบจะน้อยกว่าการบินมารักษาเมืองไทย
4.3เข้าใจว่า bh คิดค่ายาถูกกว่า bgh พี่ ih คิดว่า มีโอกาสที่ bh จะปรับราคายาขึ้นไหม
- ในทางกลับกัน BGH มีโอกาสปรับค่ายาลงไหมเพราะคิดแพงเหลือเกิน !!! ถ้าดูช่วงนี้ที่จำนวนผู้ป่วยของ BH เริ่มโตน้อยลง BH คงคิดมากขึ้นถ้าจะปรับราคาขึ้นครับเพราะตอนนี้หลายๆ รพ. เอกชนในกรุงเทพฯ ก็เริ่มที่จะแข่งกันเรื่องลูกค้าต่างประเทศมากขึ้น เว้นเสียว่าจำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอีกครั้งครับ
4.4คุณ ih สอนทริกเกี่ยวกับการดูหุ้นค้าปลีก จะต้องใช้ net income + ค่าเสื่อม (ใช้ค่าเสื่อมสัก50%)
ที่เหลือเผื่อลงทุนซ้ำ อยากทราบว่า หุ้นอย่าง bh เราจะมี จุดสังเกตการณ์ดู pe อย่างไร นอกจากเรื่อง
Brand name ที่มีสูง ถ้าเทียบกับ makro bigc กลุ่มค้าปลีกหรือกลุ่มโรงบาล(เฉพาะ bh ) ควรมี pe สูงกว่า
ผมว่า bh อาจจะด้อยกว่าเรื่องค่าเสื่อมที่ต้องลงทุนซ้ำ แต่เรื่อง brand ที่สูงกว่ามากนั้น ไม่รู้ว่าจะคำนวณได้ไงว่า
ควรจะมี pe สูงกว่า ค้าปลีกหรือป่าว
- p/e จะสูงหรือต่ำกว่าสำหรับหุ้น BH กับค้าปลีกคงจะต้องดู growth ในระยะยาวๆ ครับ ตอนนี้ p/e ของ BH สูงกว่าแสดงว่าตลาดน่าจะกำลังมองว่า health care cost / GDP ของประเทศไทยและของโลกในระยะยาวน่าจะเพิ่มขึ้นได้อีกพอสมควร ในขณะที่สินค้าของ bigc makro นั้นเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งจะโตตาม GDP แต่เป็น % ของ GDP อาจจะไม่ค่อยเพิ่ม แต่สิ่งที่ bigc makro นั้นเติบโตอยู่นั้นคือการเพิ่ม mkt share คือการกินส่วนแบ่งมาจาก traditional trade
.ใช่ครับ ถ้ามองประเด็น net income + ค่าเสื่อมนั้น ค้าปลีกจะดีกว่า รพ. เพราะค่าเสื่อมของหุ้น รพ. นั้นเป็นรายการเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์เสียเยอะซึ่งเป็นส่วนที่ต้องซื้อซ้ำทดแทนของเดิมที่ล้าสมัย
5.ps มียอดขาย town house เพิ่ม 44% บ้านเดี่ยว 96% คุณ ih คิดว่าราคาที่ 12 บาท
เทียบกับยอด presale ไตรมาสแรก มองว่าราคาตอบรับ over เกินไปไหม
5.2การที่ ps ทำยอด presale บ้านเดี่ยวสูงขึ้นได้ขนาดนี้จะเป็นสัญญาณว่าบ้านเดี่ยวฟื้นใช่ไหม
คุณ ih คิดว่ามีหุ้นตัวไหนที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นของบ้านเดี่ยวมากที่สุด ใช่ lh ไหม
- คิดว่าตลาดรวมส่วนหนึ่งน่าจะฟื้น แต่ที่สำคัญผมคิดว่า PS น่าจะแย่ง mkt share จากคู่แข่งมาได้เหมือนกัน ช่วงหลังผมไม่ค่อยเห็นบ้านจัดสรรของโครงการผู้ประกอบการรายเล็กๆ ที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์มากเท่าปี 46 หรือเท่าก่อนวิกฤติ ล่าสุดผมอ่านหนังสือพิมพ์ก็พบว่า KK ที่เดิมเคยเน้นปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ รายย่อย ก็จะลดสัดส่วนธุรกิจนี้ลงเพราะเห็นว่ามีความเสี่ยงสูง ตอนนี้ผมคิดว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการมากขึ้นครับ ส่วน LH ก็ควรจะได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของตลาดรวมแต่อาจจะน้อยกว่าอสังหาฯ รายอื่นๆ เพราะผมสังเกตว่าโครงการของ LH ช่วงหลังทำเลไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ
5.3ตัวผมเองไม่ซื้อ ps เพราะว่าคิดว่าปีนี้ eps 0.8 pe ไม่น่าจะเกิน 12.5เท่า ไม่เกิน 10 บาทก็เลยรอๆๆ
แล้วมันก็ไปเลย พี่ ih ครับ การเล่นหุ้น property เนี้ย key หลักเราจะต้องคาด presale ให้ออกเหรอครับ
ผมยังสับสนว่าจะดูจากอะไรดี
- หุ้น prop ช่วงตลาดไม่ดีก็ให้ p/e 7-8 เท่า แต่พอตลาดเริ่มดีบางทีเคยขึ้นไปถึง 15-20 เท่า ดังนั้นผมคิดว่าถ้าจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้คงจะต้องอ่าน trend ของตลาดด้วยเหมือนกันว่าในปีนั้นๆ นักลงทุนสถาบันมองหุ้นอสังหาฯ เป็นอย่างไร
6.spali มี gross margin สูงที่สุดในอุตสาหกรรม คุณ ih คิดว่าเกิดจากอะไรครับ
6.1ใช่มีต้นทุนที่ดินเก่าราคาถูกไหม หรือว่า เพราะไม่เน้น asset turnover เลยขายแบบแพงๆ ให้ได้ margin ไว้ก่อน
- เหตุผลที่ว่ามาก็น่าจะมีส่วนครับ จะเห็นว่า spali ดีหลายๆ อย่างแต่ข้อเสียคือ inventory turnover ต่ำ แสดงว่าอาจจะไม่กล้าเอาบ้านในโครงการที่ขายไม่ดีมาลดราคา ทำให้บางส่วนที่ขายไม่ดีค้างในสต๊อก ผมเห็นโครงการ คาซ่า ริว่า คอนโดฯ ตรงเจริญกรุง ริมแม่น้ำยังขายอยู่เลยทั้งๆ ที่เปิดขายมา 4 ปีแล้วไม่ทราบว่าทำไมขายไม่หมดเหมือนกัน
6.2ผมดูๆแล้ว back log ปี 07 คือ 12003 ปี 06 8651 เพิ่มขึ้นเกือบๆ 40% แต่ราคาหุ้น 11/4/08 3.74 นั้นก็แทบไม่ตอบรับ back log ที่เพิ่มเลย ราคาย้อนหลังไป 1 ปีก็แถวๆนี้เลย ยังนี้หมายความว่า เป็นหุ้นถูกได้ไหมครับ
- Back log เยอะขนาดนั้นเลยหรือครับ ได้ตัวเลขนี้มาจากไหนครับจะได้ลองไปดูด้วย
6.3สาเหตุที่ spali ยังมี pe ถูกตลอด ถ้าเทียบกับ ap lh ps ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะ balance sheet ที่ไม่
Strong หรือว่า biz model กันแน่
- ผมก็งงครับ และก็เชื่อว่าหลายๆ คนก็อาจจะงงเหมือนผม และหากไปดูบทวิเคราะห์ของ broker ใหญ่ๆ ก็ไม่ค่อยมีพูดถึง spali ด้วย ส่วนหนึ่งเท่าที่สังเกตคือเรื่องกิจกรรม IR เช่นการจัด analyst meeting อาจจะทำได้ไม่ดีเท่า AP LH PS และการให้ข้อมูลนักวิเคราะห์และนักลงทุนดูเหมือนจะทำได้ไม่ดีเท่า และจากที่ผมเคยได้ไปคุยกับผู้บริหารทั้ง LH AP PS LPN SPALI รู้สึกว่าผู้บริหาร spali จะพูดเก่งน้อยที่สุดครับซึ่งตรงนี้ก็มีผลเพราะนักลงทุนสถาบันเค้าก็ชอบผู้บริหารที่พูดฟังแล้วประทับใจแบบน้ำหูน้ำตาไหลกลับไปซื้อหุ้นแทบไม่ทัน
อีกส่วนหนึ่งที่คนจะพูดถึงกันมากคือเรื่อง warrant ที่จะออกมากไปหน่อย และอีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่อง gross margin ที่สูงจนคนมองว่า too good to be true และส่งสัยว่าด้านบัญชีมีอะไรที่เราไม่รู้หรือเปล่า แต่ความเห็นผมส่วนตัวผมไปดูโครงการของ spali ก็รู้สึกไม่ค่อยประทับใจในคุณภาพการก่อสร้างและแบบบ้านเท่าไหร่ แต่ที่เห็นเป็นจุดเด่นก็คือหลายๆ โครงการเค้าก็เลือกทำเลได้ดีครับ
No comments:
Post a Comment