http://pongsakorne.blogspot.com/2012/08/growth-stock.html
ก็ เข้าเรื่องเลยนะ
คุณ พงศกร เอื้อชวาลวงศ์ หรือที่เรารูจักกันในนาม Gobkung เจ้าของ Mind Investing Blog
เริ่มต้นจากการเข้ามาในตลาด เพื่อหาผลตอบแทนที่มากกว่า จนกระทั่งมากเจอ Thaivi
มอง ธุรกิจที่เติบโต เป็นหลัก เพราะสร้างผลตอบแทนให้ระยะยาว โดยเนื้อหาทั้งหมดคือ
- อนาคตมีความสำคัญกับ ธุรกิจยังไร เป็นเพื่อน เป็นศัตรู หัดมองอนาคตไว้
- ดูพฤติกรรมลูกค้า ดู Business model ว่าเป็นอย่างไร
- การคัดเลือกของธรรมชาติ โดยปกติธรรมดชาติ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด จะอยู่รอด ที่เหลือ ตาย ความแข็งแรงของธุรกิจก็เหมือนกัน
- การเลือกหุ้น (สำหรับคนที่ไม่มีเวลาว่างมาก ทำงานประจำ)
- การเติบโตยังไง ช่องทางต่างๆ อะไรคือการเติบโต
- การพัฒนาตัวเอง
VI คือการที่ ซื้อหุ้น จากธุรกิจ (เป็นหุ้นส่วนในธุรกิจ) และซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่า มีupside
การซื้อหุ้นเติบโตดูจากตัวบริษัทเป็นหลัก แล้วค่อยดูราคา (MOS)
ไม่ใช่แค่หุ้นถูก ต้องดูว่า โตหรือไม่
ให้ดู ความสามารถในการเติบโต มากกว่าดู PE
โครงสร้างทางความคิด แต่ละคนจะรู้อย่าง ไม่รู้อย่าง
มาถึงตอนนี้ พี่เขาบอกไม่ต้องจด เพราะมีแจกใน บล็อค เหอะๆ
หุ้นมี 6 ประเภท คือ
- โตช้า , แข็งแรง , โตเร็ว
- turn around , asset play , วัฎจักร
หุ้นเติบโต อาจเป็นหุ้นปันผลก็ได้ เป็นหุ้นวัฎจักรก็ได้ (แต่ขาลง ตัวใครตัวมัน)
หุ้น turn around ก็อาจเป็นหุ้นเติบโตได้ (เปลี่ยนธุรกิจ)
หุ้นวัฎจักร ขาขึ้นเป็นได้
Asset Play ก็เหมือนกัน
ดังนั้นอย่าคิดว่า หุ้นชื่อนี้ ต้องเป็นหุ้น เติบโต
หุ้นเติบโต เป็หุ้นที่มองไปอนาคต ไม่ใช่ปัจจุบัน โดยต้องมองทั้ง คุณภาพ และ ปริมาณด้วย
asset play , ปันผล เป็นหุ้นที่มองในปัจจุบัน
อย่าไปดู PBV มาก ให้ดูว่า เติบโตหรือเปล่า ถ้าใช่ หุ้นตัวนั้นคือหุ้นเติบโต
(PBV ไว้ดูเวลาหุ้นจะเจ็ง หุ้นโตเร็วคงไม่เจ็งหรอนะ)
การดูหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโต ไม่ใช่ดูที่ PE แต่ส่วนใหญ่หุ้นที่เติบโต PE มักสูง
PE เป็นการใช้ดูมูลค่าเฉยๆ
ทำไมต้องลงุทนหุ้นโตเร็ว
- ถือระยะยาวได้ ไม่ต้องมาเฝ้าจอ และชนะตลาด
- ไม่ต้องเชียร์ เพราะจะมี driver ต่างๆ ด้วยตัวมันเอง
- ไม่ว่าจะ VI สายไหน ก็ต้องเข้าใจ หุ้นเติบโต
- ควรจะมีติดพอร์ทไว้เสมอ
ถ้าจะซื้อหุ้นซักตัวทำไงดี
- รอวิกฤต
- หาหุ้นที่เติบโต และรอซื้อเมื่อมี MOS จากนั้น เก็บยาว จนมันไม่โต
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า VI = PE PBV ต่ำๆ
อย่างน้อย ไม่มี MOS แต่ถ้ารู้ว่า บริษัทดี ก็จะได้กล้าซื้อ
การลงทุนในหุ้น เป็นการมองอนาคตโดยตรง เพราะคนที่ซื้อเพราะอนาคตทั้งนั้น ทั้งสั้น ทั้งยาว โดยหวังส่วนต่าง ซึ่งคือการคาดการณ์อนาคตทั้งสิ้น
อนาคต คืออะไร
- อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ได้เลย บางครั้งถูก ก็เป็นเพียงความโชคดีเท่านั้น
- คนมักฟังอนาคตจากเซียน เพราะคนมักกลัวในอนาคตที่ตัวเองคาด
- ที่ต้องเข้าใจคือ พื้นฐานกิจการในอนาคต คิดหลายๆแบบ ทั้ง แย่ ปานกลาง ดี เผื่ออนาคตไว้
- ส่วนใหญ่ก็มักเก็งกำไรรายไตรมาส สุดท้ายก็ sell on fact (แต่ถ้ากำไรตก ตัวใครตัวมัน)
- ไม่ว่าจะเป็นการซื้อดักงบ opp day visit ก็เป็นการทำนายอนาคตทั้งนั้น
คำแนะนำ
- อนาคตเป็นเรื่องของความน่าจะเป็นมากกว่า มองโอกาส ความเสี่ยง
- เลิกเชื่อคนอื่น จนกว่าจะคิดเองได้
- มองเห็นปัจจุบัน จนอนาคต ด้วย ปัจจัยภายนอก ภายใน trend ของคน การวิเคราะห์ ทั้งปริมาณ และคุณภาพ
- MOS และกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม
- ต้องเข้าใจว่า ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ใช้นิ่ง ต้องประเมินไปด้วย (รายปี)
- ไม่คิดถึง ราคาเป้าหมายหุ้น แต่มองเป็นช่วงราคาดีกว่่า (ไม่กำหนดราคาเป้าหมายเป็นตัวเลข)
- เวลาเป็นสิ่งมีค่า เปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่าง อย่างมีเหตุและผล
- ต้องรู้เหตุปัจจัยให้มากที่สุดจะทำให้ทำนายอนาคตได้แม่นยำ (แต่ขนาดนิวตันยังติดดอย)
- เมื่อเวลาบวก ธุรกิจที่ดี จะกลายเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม
- ทักษะ ความอึด อดทน
- ตลาดมักให้หุ้นที่ดี เติบโต PE สูง แต่ไม่แน่เสมอไป
- ซื้อหุ้นที่เติบโต แพงไป ย่อมไม่ดี
เช่น หุ้น A โต 5% ใช้เวลา 10 ปีถ้า PE เท่าเดิม ก็จะได้กำไร 63%
หุ้น B โต 20% ใช้เวลา 10 ปี กำไรจะโต 615%
กรณี PE คงเดิม ก็จะได้ 515%
กรณี PE ลดลง กำไรที่จะได้ลดลงเหมือนกัน
กรณี PE ตอนซื้อ แพง กำไรก็ลดลงเหมือนกัน
สำหรับหุ้นเติบโต เวลาเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ ยิ่งนาน ยิ่งเสี่ยงน้อย
แต่หุ้น turn around cycle ถือยาวไม่ได้
การมองก็ต้องมีระยะที่เหมาะสม อย่าง TV มองใกล้ก็เห็นเป็นสี่เหลืยมๆ อย่างเชื้อโรค ก็ต้องมองผ่านกล้อง
การมองธุรกิจ ก็ต้องเห็นการโตที่ชัดเจน ต้องมองตามที่เราคาดการณ์ได้ แนะนำให้มองเป็นปีๆ
ให้หาบริษัทที่มีอนาคต หลายๆคนมักมองอดีต การมองงบการเงินอาจจะช้าไป ให้เราคาดการณ์ไว้ก่อน แล้วค่อยดูงบการเงินเป็นตัวยืนยันที่หลัง
การดูว่าธุรกิจไหนจะเติบโต ดูจาก
- การใช้ชีวิตของผู้คน
- ดูประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศที่เหลือ มักจะตามๆกันไป
- ดูเรื่องของการจิตนาการเป็นหลัก
- ต้องรู้ในธุรกิจพอสมควร
- ดููการเติบโตด้วยว่ามีไม แล้วอยู่ช่วงไหน จุดเริ่มต้น ต่อเนื่อง จุดอิ่มตัว
- ดูปัจัยภายนอก ภายใน
- พฤติกรรมมนุษย์ เป็นไง ดู supply Demand เช่น คนเดินห้าง ดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ มือถือ กล้องดิจิตอล
- การต้องการ จะเริ่มจาก คนนึงสร้างความต้องการ จนคนเริ่มตามๆกันมา สุดท้ายเหมือนสังคมต้องการ จะกลายเป็น trend
ความต้องการของมนุษย์
- ปัจจัย 4 อาหาร บ้าน เสื้อ ยาโรงบาล
- เป็นที่ยอมรับ (ธุรกิจ ความงาม แฟชั่น แบรนค์)
- ค้นหาตัวเอง พัฒนา หนังสือ Social network
- ความง่าย สะดวก
- เป็นกลุ่มๆ ตามกันไป
- ราคาถูก ถูกที่ใจนะ
- สะดวก ทันใจ
- หนีความทุก
- เข้าหาความสุข
ดูตัวเอง คนใกล้ตัว รอบๆตัว คนที่ประเทศพัฒนาแล้ว
คนมักไม่รู้ว่า ตัวเองต้องการอะไร
การดูธุรกิจ ที่เติบโตให้ดูทั้งแต่ ผู้บริหาร ทั้งระบบ End product สายพาน
ถ้าบริษัท ไม่มีแรงจูงใจ เฉยๆ ก็เน่า
ถ้าบริษัท ไม่มีความสามารถในการแข่งขัน ก็เน่า
Mega Trend
- AEC
- การขยายตลาด โอกาศของธุรกิจที่มีความสามารถ
- โอกาสไปลงทุนประเทศกำลังพัฒนา
- การเติบโตของ Logistis
- แรงงานราคาถูก
- การย้ายฐานการผลิต
- ไทย ก็จะมี การท่องเที่ยว การแพทย์ ศุนย์กลางการขนส่ง ที่น่าสนใจ
- สังคมคนแก่
- ผู้หญิง มีรายได้ มีกำลังซื้อสินค้า
- จีน อินเดีย เอเชีย
- คนย้ายมาอยู่ในเมื่องมากขึ้น
- คนแต่งงานน้อยลง มีลูกน้อย ให้ลูกอยู่ดีกินดี
- พลังงาน พลังงานทางเลือก(โดนบีบ)
- Modren Trade
- internet ,E-com,Socal network
- Logistis , ขนส่ง ต่างๆ
- อาหาร ที่มีคุณภาพสูง เพื่อสุภาพ
- ชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น (ใช้ชีวิตดีขึ้น)
- คนสนใจลงทุนกันมากขึ้น
การหาธุรกิจเป็นะระบบ
- ต่อยอด Mega trend
- แน้วโน้มต่างๆ เช่น
- smart phone ก็จะเป็น ธุรกิจ สัญญาณ ชิ้นส่วนโทรสับ ขาย บริการอินเตอร์เน็ต App E-com
- คอนโด ก็จะเป็น คอนโด วัสดุ BTS เฟอร์นิเจอร์ น้ำ ไฟฟ้า อินเตอร์เน็ต
- คิดเชิงระบบ (ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง)
ต้องดูด้วยว่า รายได้ ต่อ รายได้ที่โตด้วย (อย่างรายได้ของบริษัทที่โตเยอะๆ เป็นส่วนเล็กๆของรายได้ที่ไม่โต)
เรื่อง ผู้บริหาร
- แรงจูงใจให้โต ผลประโยชน์ (ถ้าถือเกิน 50% ก็น่าสนใจ)
- ซื่อสัตย์ ตรวจสอบประวัติการทำงาน ข้อมูลที่ให้ต่างๆ
- ความสามารถ แนวคิด วิสัยทัศน์ ผลประกอบการ
หุ้น IPO มี 4 แบบ
- อิ่มตัว เข้ามาเพื่อหาที่ออก
- เพื่อทุนอยากโต
- หลอกเอาเงิน
- เพื่มทุนเพราะอยากฟื้น
ดูปัจจัยต่างๆ
- ทุนนิยม
- Demand Trend
- การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี
- การพัฒนาสินค้าทดแทน ที่ดีกว่า หรือถูกกว่า
- ความสามารถในการแข่งขัน การปรับตัว
- มาตราการ นโยบายต่างๆ
- ปัจจัยภายนอก สภาพแวดล้อม Demand
- ปัจจัยภายใน DCA ต่างๆ
- การเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการ ยิ่งมาก ยิ่งดี margin จะสูง
กำไรมาจากไหน
รายได้ - รายจ่าย = กำไร
ลองดูขนาดตลาดโดยรวมว่าโตไม
ส่วนแบางการตลาด แย่งได้ไม
พยายามหา บริษัท ที่ตลาดโต และ market shard สูงขึ้น (แย่งลูกค้าได้)
หาบริษัท ที่อุตสากรรมไม่บูม จะได้หาได้ (ที่บูมมันแพง)
ดู 56-1 คู่แข่ง คนใกล้ตัวด้วย
การออกสินค้าใหม่ การขึ้นราคา
ต้นทุนที่ลดลง ต้นทุนต่อหน่วยที่ลดลง
กำไรเพิ่มขึ้นจาก
รายได้เพิ่ม ต้นทุนเพิ่ม ในสัดส่วนเท่ากัน NPM จะเท่าเดิม
รายได้เพิ่ม ต้นทุน เพิ่มน้อยกว่า NPM จะสูงงขึ้น
รายได้เพ่ิม ต้นทุนลด ยิ่งดี
ความสามารถในการแข่งขัน
- อุตสาหกรรม ที่แข่งง่าย ก็จะเข้ามากันเยอะ แต่ถ้าแข่งยาก ก็จะไม่ยอมออกกัน
- ดังนั้น หาธุรกิจ ที่มี DCA ทำได้ดีกว่าคู่แข่ง
- DCA Brand ต้นทุนต่ำ ฝ่ายMarketing เก่งกว่า
- ขายเร็ว turnover rate สูง
- ทีมวิจัยชั้นเลิศ ไม่ตามคนอื่น
- คุณภาพสินค้า บริการที่ดี
- มี Commecting กับลูกค้ามานาน
การประเมิน งบการเงิน เป็นการประเมินในอดีต
ธุรกิจที่ดี Margin สูง ขายได้เยอะ
กาดูงบ ให้ดู
- การเติบโต
- คุณภาพการเติบโต
- กระแสเงินสด
- ความแข็งแรงของงบ
- การเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน
- ดูความน่าเชื่อถือด้วย (ดูคอมเม้นของคนรายงานบัญชี)
- ดูรายได้โตไม เพราะอะไร
- ต้นทุนเพิ่ม เพราะอะไร
- กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้นไม
- คูณถาพของกำไร GPM
- การหมุนสินค้า DeadStock
ROE ให้ประเมิน Forward ROE ให้ดูเทียบกับธุรกิจที่ใกล้เคียง คู่แข่งดู
ROE สูง ไม่ใช่คำตอบเสมอไป ต้องดูการเติบโตของกำไรด้วย ถ้ากำไรแต่ปันผลหมด ROE ก็สูงแต่ไม่โต
อาจให้ ROTC ด้วยก็ได้
ROE ควรมากกว่า 15%
กำไรจะเพิ่มจากส่วนทุนที่้เพิ่มด้วย
การตรวจกระแสเงินสด
ดูว่า รายได้เพิ่มจากไหน กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ควรเป็น บวก
ในช่วงแรกของการลงทุน เงินลงทุนอาจจะ ติดลบมาก ทำให้ดูแย่
ดูโดยรวมว่า กู้ได้ไม มีเพดาน ดูหนี้ต่างๆ ระวังเรื่องการเพิ่มทุน
เทียบดอกเบี้ยระยะสั้นกับ กระแสเงินสดด้วย
ควรให้ D/E น้อยกว่า 1 มีเพดานกู้ มีหนี้ไม่มีดอกก็ดี
ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง รายได้ รายจ่าย การลดต้นทุน GPM
ไม่แนะนำให้ดู PBV ให้ดูกระแสเงินสดดีกว่า
สมุมุติ ต้นยาง เป็นหุ้น
ราคาไม้ยาง คือ BV
ราคายางคือ กำไร
การดูกำไรควรดูเวลาทั้งหมดที่ทำได้
อย่างยาง กำไรที่ทำได้ คือ ช่วงเวลาที่กีดยางได้ ส่วน BV จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามขนาดต้น
ไม่แนะนำ PE เพราะตลาดมองสั้นๆ
DCF จะดีกว่า แต่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายแล้วรุนแรง ถ้าตัวแปรคลาด
มือใหม่ควรจะฝึกทำให้เป็น
PE สูงเมื่อกำไรในอนาคตสูง กระแสเงินสดที่หาก็จะได้สูงด้วย
บริษัทที่ใช้เงินลงทุนน้อย ดีกว่า
PE ที่สูงจะทำให้ผลตอบแทนต่ำ
การลดภาษี
การลดดอกเบี้ย (อันนี้บอกยาก)
การค้นหาหุ้นเติบโต
- เป็นตัวของตัวเองเวลาหา ฝืนกระแสสังคม
- อยู่ในอุตสหากรรมใหม่ๆ ที่ต่างประเทศมีแล้ว แต่เรายังไม่มี
- อยู่ในอุตสหกรรม เก่าแก่ แต่พฤติกรรมมนุษย์เปลี่ยน เช่น เครื่องประดับ ขนมปัง
- กำไรในงบการเงิน (คมมักดูกำไรสุทธิ)
- หุ้นปั่น บางครั้งเป็นหุ้นเติบโต
- ค้นหา Super stock ที่ยังไม่มีใครเห็น
ความเสี่ยง
- ซื้อหุ้นที่แพงเกินไป
- เติบโตเร็วจนคุณภาพไม่มี เช่น คนงานต่างๆ
- ตลาดหมี (ตลาดกด PE)
การมองจุดซื้อขาย
พยายามมองเป็นช่วงๆ อย่ากำหนดจุด จำลองเหตุการณ์ต่างๆ
มอง ทางออก ก่อน ทางเข้า
เวลาซื้อขาย ซื้อเพราะเติบโต ขายเพราะ ไม่โต แพง แล้ว เจอตัวใหม่ที่ดีกว่า
Mr,market
- อย่าประมาณนายตลาด
- ระวัง EMH อย่ามองว่าราคาถูกมาแล้ว อีกนาน
- กำไรระยะสั้น ยาว
- ตลาดมักมีจุดบอดเสมอ มักมีหุ้นที่ถูกมองข้ามเสมอๆ
เรื่องของจิตใจของมนุษย์
ลักษณะของมนุษย์
เวลาตัดสินใจอะไรไวๆ มักใช้สัญชาติยานเอาตัวรอด แต่การซื้อขายหุ้น ต้องตัดสินใจโดยใช้เหตุและผล
Bias
- มั่นใจมากไป
- การคิดย้อนหลัง แล้วคิดว่าทำนายอนาคตได้
- เทียบตัวเลขในอดีต
- การไปตามฝูงชน
- กลัวการขาดทุน กำไรรีบขาย แต่ขาดทุนถือยาว
คำแนะนำ
- ไม่ต้องเผ้าจอ ไม่ตามข่าว ไม่เชียร์
- เป็นนักฟังที่ดี
- อ่านแล้ววิเคราะห์
- เป็นนักเขียน ที่มีเหตุผล มีหลักฐาน
- ฟังอ่าน หาข้อมูล คิด วิเคราะ เขียน พูดให้คนอื่นฟัง
- มีสติ อย่าหงุดหงิด เวลาคนอื่นมาวิจารย์หุ้นเรา
- อ่านแรงจูงใจของคนต่างๆให้ได้
- เล่นหุ้นให้สนุก มีความสุข
- มีวินัยการลงทุน
- ชัดเจนใช้ได้จริง
- เข้าใจหลักการ ราคาหุ้น ใช้ได้จริง
- ประเมิน จดบันทึกทุกครั้ง
- ผลตอบแทนย้อนหลังเป็นอย่างไร
- ต้องมีความรัก มีการฝึกฝน
- เมื่อมีความรู้แล้ว อย่าลืมแบ่งปัน
ขอบคุณ สำหรับความรู้ทั้งหมดนี้
อาจจดผิด ขาดๆ เกินๆ เหมือนสมองผม ก็ขออภัยด้วยนะครับ
No comments:
Post a Comment