Thursday, November 29, 2012

-หุ้น IPO ANANDA

ANANDA บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด มหาชน

รายละเอียด 
ขายหุ้นเพิ่มทุน 1,333ล้านหุ้น par 0.1 บาท ราคา 4.2บาท (ราคาแพงมาก 42 เท่า)

วัตถุประสงค์ การใช้เงิน ipo  
ชำระหนี้เงินกู้ 3400 ล้านบาท 
*ผมลองเอางบปี 9/55 มาคิดหักหนี้ออก (ต้นทุนการเงิน) ยังขาดทุนอยู่ดี แต่ก็เกือบเหลือ 0 นะ
ซื้อ ADO 500 ล้านบาท 
เงินหมุนเวียนเพิ่ม 1468 ล้านบาท 


รูปแบบธุรกิจ 
1 พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พวกคอนโด ติดรถไฟฟ้า 
2 รับบริหารโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (หมู่บ้าน มีศูนย์อาหาร แข่งรถ ด้วย)

คือ ทำคอนโดเอง กับ รับจ้างทำคอนโด (ตัวรับจ้างจะมีชื่อ by ananda ต่อท้าย)


2553 มีการซื้อกิจการ AD2 เข้ามาทั้งหมด จากตอนแรก ถือ 5% เป็น 100% ทำให้สินทรัพย์รวมพุ่ง ปริ๊ดๆเลย 

2554 รายได้เพิ่มขึ้นจากการขาย คอนโด แต่กำไรพุ่งลง บ้าชิบ ส่วนผู้ถือหุ้นติดลบอีก 




ปัจจัยความเสี่ยง ธุรกิจ และการดำเนินงาน

- ผู้ถือหุ้นเป็นลบ อาจไม่สามารถซื้อขายได้ 
ขอโทษนะครับ ขอด่าหน่อยเถอะ  ไอ้เชี่ยยยยย  เข้ามา้เพื่อปล่อยของเสียให้คนในตลาด ทำกำไรอีก 42 เท่าอีก  
แต่ถ้าใครจะลุ้น turn around ก็ลองดูนะครับ ผมอาจพลาดก็ได้ 

- ความเสี่ยงจากผลประกอบการ อนาคต ขึ้นกับโครงการที่ขายอยู่ 
คาดการณ์ยากครับ ส่วนนี้ 

-ความเสี่ยงจากการเข้าซื้อ ADO 
ระวังนะครับ ซื้อ AD2 ยังเน่าเลย ส่วนที่จะซื้อ จะซื้อ ADO เพิ่ม 48.26% 1พันล้าน + ดอกเบี๊ย 4ล้านกว่า จาก TMW 

-ความเสี่ยงจากการจัดหาที่ดินเพื่อพัฒนาในอนาคต
พวกนี้เหนื่อยครับ 

-ความเสี่ยงจากการที่บริษัท มีรายได้หลักจากผลิตภัณฑ์หลักชนิดเดียว
ทำคอนโดอย่างเดียว 100% ถ้าทำแล้วไม่ดี ก็หายนะเลย เพราะขนาดตอนนี้ดีๆ ยังขาดทุนเลย 

-ความเสี่ยงจากพึ่งพิงผู้รับเหมา 

-ความเสี่ยงจากคดีความ
หลักๆเป็นเรื่อง ที่จอดรถ โครงการ ไอดีโอ คิว พญาไท ที่จอดรถที่ต้องการ 391คัน แต่โอดีโอ ขาดไปไม่เยอะ 107 คันเอง เลยฟ้องร้องอยู่ 

ปัจจัยควารมเสี่ยงด้านการเงิน 

-หนี้สินต่อทุนสูง  น่าจะเขียน หนี้สินมากกว่าทุนนะ 
แต่ยังสามารถ ชำระดอกเบี๊ยได้อยู่ -*-

-มีการปล่อยเงินกู้ให้รายย่อยด้วย

ความเสี่ยงจากโครงสร้างกลุ่ม 

-บริษัทต้องพึ่งพิงเงินปันผลจากบริษัทอื่น เพื่อจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น 
ยังอุดส่าจ่ายอีกนะ 

* ความเสี่ยงที่น่าสนใจ ขี้เกียจเขียนล่ะ
ความเสี่ยงจาก ราคาหุ้นจะผันผวนมาก ผู้ลงทุนอาจไม่สามารถขายได้ในราคาที่เท่ากับ หรือมากกว่า ราคาจองได้ 


สรุปนะครับ ผมไม่แนะนำล่ะกัน 
ตั้งแต่ธุรกิจ รับเหมาที่กำไรไม่แน่นอน ต้นทุนสินค้าก่อสร้างก็โภคพันธ์อีก ธุรกิจขายคอนโดก็เหนื่อยอีก (ต้องสร้างใหม่ ขายใหม่ตลอด) 
จนมางบการเงิน ก็มีปัญหาอีก ขาดทุนอีก ตอนแรกนึกว่า ดอกเบี๊ยเงินกู้เยอะ แต่ดันเป็นว่า กำไรขั้นต้น ก็ขาดทุนแล้ว 



Tuesday, November 27, 2012

บรรทึกช่วยจำ Kamart Beauty


เรื่อง kamart Beauty ในมุมมองของมาร์นะ

อาจมีผิดพลาดได้อยู่ เพราะยังไม่ได้เข้าไปดูรายละเอียดเชิงลึก
 อย่าเชื่อมาก ลองคิดดูด้วยเหตุผลนะครับ


ก็เรื่องของความแตกต่างของ Kamart Beauty คือ
Kamart จะเป็นผู้นำเข้าสินค้าความงามจากเกาหลีเป็นหลัก โดยบริษัทแค่เป็นตัวแทนนำเข้ามาเท่านั้น
Beauty จะเป็นผู้ผลิตสินค้าในแบรนด์ของตัวเองแล้วมาขายเองเลย คนไทย แต่เรื่องสินค้านอกมาขายด้วยหรือเปล่า ไม่แน่ใจ แต่ไม่น่าจะเอามาขายในร้านนะ

ข้อดี ข้อเสีย Kamart

ธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความงาม เป็นตัวฉุดกำไรบ้าง ทำให้งบไม่สวยบ้าง ผมก็ไม่แน่ใจ ว่ามันต้องทำ หรือยังไง

สามารถเปลี่ยนสินค้าได้เร็ว ถ้ามีสินค้ามาใหม่ ก็สั่งซื้อมาได้เลย ไม่ต้องลงทุึนเยอะนอกจากคลังสินค้าเป็นหลัก อันไหนขายดี ก็เอามาขายต่อ อันนี้ขายไม่ดี ก็หยุดขาย ต้นทุนส่วนนี้เลยต่ำ


เนื่องจากการซื้อมาขายไป ทำให้กำไรมีสิทธิ์หายระหว่างทางเยอะ นอกจากนั้น เหมือนตอนนี้ kamart เน้นขายส่งด้วย ทำให้่อัตรากำไรจะต่ำลง
นอกจากนั้นสินค้า kamart ที่มาจากเกาหลี ก็มีรายย่อยคนอื่นไปซื้อได้ด้วยเหมือนกัน เอามาขาย ได้กำไรมากกว่าด้วยซ้ำ แถมมากดราคาแข่งกันอีก


ไม่ต้องลงทุนเปิดสาขาเอง ทำให้ประหยัดต้นทุนในส่วนนี้ได้มาก และขยายได้เร็วกว่าที่จะต้องลงทุนเปิดร้านเอง
การที่ไม่เปิดสาขาเอง พยายามทำเหมือน 7-11 โดยการขายแฟรนไซล์นั้น จะมีปัญหาในแง่ของร้านรายย่อยที่ไม่เป็นระบบ ระเบียบ อย่างเอาสินค้าวางมั่ว เอาสินค้าปลอมหรือของเจ้าอื่นมาขายในร้าน หรือการขายราคาไม่เท่ากันก็มี

kamart เน้นสินค้าเกาหลี ถ้าวันดีคืนดี สินค้าเวียดนามดังขึ้นมาแทน ก็แย่เหมือนกัน แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่น่ากลัว เพราะ เป็นเพียงบริษัทนำเข้า แค่ไปนำเข้าขอเวียดนาม ก็ได้แล้ว
กรณีแฟชั่นเปลี่ยน คนทั้งไปก็จะคิดว่าร้าน kamart ต้องเกาหลี จะมาเป็นเวียดนามก็ไม่ดี นอกจากเปิดใหม่ ซึ่งรายย่อยที่เปิดร้าน เฟชน์ไซล์ ก็ไม่พอใจแน่

คนรู้จักผมหลายคน เลิกใช้ kamart แล้ว ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือสินค้าคุณภาพแย่ลง อย่างครีมตัวขาว เมื่อทีเดียวเห็นผล เดียวนี้ หลายรอบกว่าจะเห็น แย่เลย

ข้อดี ข้อเสียของ Beauty
การสร้างสินค้าเอง แบรนด์เอง ทำให้ควบคุมคุณภาพได้ดี และัทำกำไรได้ดีกว่ามากด้วย แต่ข้อเสียคือ ต้นทุนจมสูง และการผลิตแต่ล่ะครั้งก็ต้องผลิตให้พอดีขาย (แต่ปกติพวกนี้กำไรมหาศา่ลอยู่แล้วนะ)

การเปิดสาขาเอง ทำให้การควบคุมคุณภาพ ดีกว่าแต่ก็มาพร้อมกับต้นทุนที่แพงพอสมควรเลย

เท่าที่รู้มา Beauty ทำเครื่องสำอางตั้งแต่ชั้นบนลงล่างเลย ทำให้ไม่มีลูกค้าเฉพาะทางโดยตรง (น่าจะเน้น คนชั้นบนเลย ไม่ก็ คนชั้นล่างเลย) บางครั้งทำให้ คนที่เข้ามาไม่แน่ใจในยี่ห้อด้วยซ้ำ
*เรื่องของการวางขายสินค้า ก็เหมือนพวกแฟชั่น ถ้ายี่ห้อเดียวกัน ร้านเดียวกัน วางของแพง กับของถูกรวมกัน จะทำให้ยี่ห้อเน่าเลย ดูอย่าง หลุย กุดซี่ มีแต่แพงๆ แต่คนก็ยังใช้กัน เพราะมันแพง แต่ถ้าเอาพวกนี้ไปวางร้านข้างทางที่มีกระเป๋า 150 อยู่ คนคงไม่กล้าซื้อกัน

*ส่วนเรื่อง ผบห kamart ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่รุ่นลูกน่าสนใจดี beauty ผมยังไม่มีข้อมูล

Sunday, November 25, 2012

หายนะทางเทคโนโลยี

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมจำได้ อาจมีผิดพลาดบ้าง ขออภัย แจ้งด้วยก็ดีนะครับ

ปล  ไม่ได้ชี้แนะ หรือ แนะนำ อะไรนะครับ ใครใคร่ซื้อ ใครใคร่ขาย ตัดสินใจเองนะครับ

เรื่องของเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่ผ่านไปไวมาก คนที่ไม่ติดตามก็จะกลายเป็นคนล้าหลังไปเลย ยิ่งสมัยนี้ เยอะมาก จนไม่รู้จะติดตามอะไรแล้ว โดยที่ผ่านมา ก็มีบริษัทโตสุดๆ แล้วก็ล้มหายตายจากไปเยอะมาก โดยผมจะเอาส่วนที่จำไ้ด้มาล่ะกันนะครับ

เริ่มจากหุ้นไทยเลย

SIS ผมเคยเขียนบทความอยู่ นึกไม่ถึงว่า จะมีหายนะเพิ่มมาอีกอย่าง หลังจากน้ำท่วม 54 ไป สมัยก่อนเป็นบริษัทที่ทำกำไรได้ดี อัตรากำไรนิ่งมาก คาดการณ์กำไรได้ง่าย มีการเพิ่มประสิทธิภาพอีก แล้วก็การควบคุมสินค้าคงเหลือดีมาก ไม่ค่อยมีปัญหา

จนกระทั่ง SIS เจอน้ำท่วมไปรอบนึง ทำให้ขายสินค้าไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้รับความเสียหายมากนัก แม้จะขาดทุึน แต่โดยรวมก็ยังดีอยู่ ตอนนั้นผมเลยมองว่า น่าจะเป็นหุ้น turn around ได้ แต่ก็ไม่ได้ซื้อนะ เพราะส่วนตัวแล้ว ไม่ชอบหุ้นเทคโนโลยี แบบพวกขายโทรศัพท์มากนัก

จากนั้นไม่นาน บริษัท กำไรหดอีกรอบจนขาดทุน (ถ้าจำไม่ผิด) จากการที่ บริษัทมีมือถือ HTC และ BB อยู่ใน stock เยอะ แต่ขายไม่ออก (ช่วงนั้นรอบๆตัว มีแต่คนใช้ iphone Samsung กันหมด) ทำให้ต้องลดราคาอย่างหนัก เพื่อล้างstock ออกให้หมด และ samsung เองก็ดูเหมือนว่าจะเปิด shop เองด้วย ยิ่งทำให้ SIS พื้นฐานเปลี่ยนเข้าไปใหญ่ อีกด้วย

อีกส่วนที่ผมไม่ค่อยชอบ SIS มาแต่แรกด้วย ก็จะเหมือนทุกครั้งที่ผมบอก คือ ผมชอบธุรกิจที่ ใช้แล้วหมดไป อย่าง น้ำ อาหาร พลังงาน หรือบริการก็ได้ แต่ SIS ขายโทรศัพท์นี่สิปัญหา เพราะต้องรอลูกค้าใช้จนพัง ไม่ก็อยากเปลี่ยนเอง ก็ยังดีกว่าพวกคอนโด บ้าน ที่เป็นระยะยาวนะครับ
นอกจากนั้น ก็เรื่องราคาที่ถูกลงทุกวัน และโทรศััพท์ ที่ตกรุ่นเร็วเวอร์ (เล่นออกมาทุกเดือนนินา)

ปล. เหมือนเคยได้ยิน สินค้าIT พวกนี้ กำไรต่ำมากกกกก เห็นว่าตั้งแต่โรงงานสร้างจนวางขาย กำไรรวมราวๆ 5-10% เอง


IT ตัวนี้ผมเชื่อว่า มีคนตาม ดร เยอะมาก แต่ผมไม่ได้ตามนะ เหตุผลก็ไม่ต่างจาก SIS มากนัก สำหรับตัวนี้ ผมเอาคำพูดของ ดร มาเลยดีกว่า สะดวกกว่า แต่อาจไม่ตรงทุกตัวนะ แค่ประมาณเอา

" ตอนที่ซื้อ IT ผมเชื่อว่า เทรนของการมีคอมพิวเตอร์ทุกบ้าน มันกำลังมา (หลายปีมาแล้ว) อย่างน้อยก็ต้องมีกันบ้านละเครื่องแน่นอน ทำให้ตัดสินใจ ซื้อหุ้นนี้ เพื่อลงทุน"

" โลกมันเปลี่ยนไปเร็วมาก เมื่อก่อน ซื้อคอมที 4-5หมื่นบาท มีทั้งหน้าจอ เคสคอม คีย์บอร์ด เม้า ลำโพง อุปกรณ์เสริมก็มีพวก กล้อง สแกนเนอร์ พริ้นเตอร์  เต็มไปหมด "

" ตอนนี้เหลืออะไรบ้างล่ะ หน้าจอแบนๆ (ipad พวก tap-lap) เคส เม้า คียบอร์ด ลำโพง หายหมด แถมราคาก็ถูกกว่า คุณภาพก็ดีกว่า หรืออย่างโทรศัพท์ ก็รวมอุปกรณ์เข้าไปหมด เช่น กล้อง คอมขนาดจิ๋ว ไมค์ อัดเสียง อีกเยอะ หรืออย่างพวกอุปกรณ์เสริม เช่น พริ้นเตอร์ ก็ถูกกว่าหมึกพิมอีก สแกรนก็เหลือนิดเดียว ราคาก็ถูก กล้องสมัยนี้ ถูกสุดๆอีก "


รายละเอียดก็ประมาณนี้นะครับ


HTECH ผมก็มองๆอยู่ว่าจะทำยังไงต่อ สำหรับคนที่ไม่รู้ทำอะไร บริษัทนี้ ทำเกี่ยวกับใบมีดกลึง ใช้ในอุตหกรรมที่ต้องการความแม่นยำสูง ซึ่งรายได้หลักมากจากกลุ่มทำ Hard disk (ที่เก็บข้อมูลในคอม) โดยพวกใบมีดพวกนี้ ใช้ได้แปปๆ ก็ต้องเปลี่ยนเรื่อยๆ ทำให้บริษัท HTECH มีรายได้ค่อนข้างดีเรื่อยๆ

แต่อย่างที่บอก ในอนาคต อุปกรณ์ที่ใช้เก็บความจำ Flash memory ซึ่งราคาลดอย่างรวดเร็ว จำได้ว่าตอนกล้องดิจิตอล ออกใหม่ๆ 32MB ราคาเป็นพันเลย ตอนนี้ 32GB ราคา 800 เอง (ดูดีๆ MB > GB 1000เท่านะ) ตอนนี้ราคาก็ยังลดอย่างต่อเนื่อง ในอนาคต ผมเชื่อว่า Flash memory ต้องมาแทน Hard disk แน่นอน 

*แต่เห็นมีคนว่าไว้  HTECH ก็เริ่มมีส่วนที่ผลิตให้กับ Flash memory ด้วย แต่ผมก็บอกไม่ได้นะ 


JMART ตัวนี้ โดยรวมผมไม่ได้ตามมากนัก แต่รู้แต่ที่คนสนใจมากขึ้นเยอะ ทำให้ราคาไปไกลเลย ไม่ได้มาจากการขายโทรศัพท์ แต่เป็นการไปตามหนี้เน่า NPL มากกว่านะครับ


ตัวที่เหลือไม่ค่อยได้ตาม เท่าไหร่ ขออภัยนะครับ ที่เหลือก็จะเป็นของต่างประเทศ


Kodak โกดัก เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะ กล้อง และฟิล์ม ที่ใหญ่ และดีมากบนโลกเลย ในสมัยก่อน แต่ปัจจุบัน ถ้าจำไม่ผิด ประกาศล้มละลายไปแล้ว เนื่องจากอะไรก็น่าจะรู้กัน

เหตุเกิดจาก ตอนที่กล้องดิจิตอลออกมาใหม่ๆ บริษัทอื่นๆก็หันมาทำกล้องดิจิตอลกันหมด แต่ Kodak กลับไม่สนใจ โดย ผบ บอกว่า "ไม่มีทางที่กล้องดิจิตอล จะมาแทนกล้องฟิล์ม"


Nokia ได้ข่าวว่า อีกไม่นาน ถ้ายังไม่มีอะไรดีๆ ออกมาใหม่ บริษัทจะล้มละลายภายในปี 57 แน่นอน ทั้งที่เมือก่อน Nokia เป็นบริษัทที่ดีมาก โทรศัพท์ใครก็ใช้ Nokia แต่ตั้งแต่ปี 49 (ถ้าจำไม่ผิด) ก็ถูก BB ตีตลาด จากนั้น ก็เจอ Iphone Samsung ตีตลาดอีก แล้ว ระบบซิมเบียร์ที่คนไม่นิยมอีก (มันห่วย) ที่โดน IOS จาก Iphone กับ Android ตีตลาดเละเลย

อีกอย่างผมว่า การที่ Nokia ทำโทรศัพท์ ออกมามากเกินไป พยายามทำทุกตลาด ทำให้โทรศัพท์มันดูแย่ลง ตกรุ่นเร็วเกินไปด้วย

ปัจจุบัน Nokia ได้จับมือกับ Microsoft เพื่อทำระบบ window 8 phone ออกมาแข่งขันแทนแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าจะ สู้ได้แค่ไหน ดูกันต่อไป



ที่จริงยังมีอีกหลายตัวมาก ที่เจอปัญหาเรื่องเทคโนโลยี
- การพัฒนาที่เร็วมาก
- การที่แข่งขันราคาอย่างรุนแรง (เพราะต้องรีบขายให้หมด เดียวสินค้าล้าหลัง)
- เทรนด์ กระแส ที่เปลี่ยนแรงและรุนแรงมาก
- ส่วนใหญ่ มักจะขายเป็นเครื่องๆ ทำให้ต้องหาเงินตลอด ไม่มีการทบของรายได้ หรือ snow ball ด้วย

Thursday, November 8, 2012

-แอบดู BCH


BCH : บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน)
หรือ KH : เกษมราษฎร์ (ชื่อเก่า)

ตัวนี้ เคยสนใจ แต่ไม่ได้แนะนำนะ วันนั้นเอามานั่งอ่านเล่น


เหตุที่สนใจ เห็นว่าสร้างโรงพยาบาลเพิ่ม ชื่อ The World Medical Center ซึ่งจะรับลูกค้าระดับบน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และมีได้ยินว่า จะสร้างโรงพยาบาลเพิ่มตามทีหลัง อีก 2-3ปี

ปัญหา การสร้างโรงพยาบาล ต้องใช้ต้นทุนสูงมาก และค่าเสื่อมที่ตามมาในงบ จะทำให้กำไรลดลงอย่างมีนัยยะแน่นอน กว่าจะมีรายได้เข้ามาจนถึงจุดคุ้มทุนอีก เพราะเรื่องชื่อเสียงอีกด้วย ที่ทำให้ลำบาก

รายละเอียดคร่าวๆ เท่าที่จำได้
มีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 6 ที่ (ไม่รวม WMC นะ)
ซึ่งมี 3 โรงพยาบาล ถือหุ้น100%
อีก 3 แห่่ง ถือไม่ครบ แต่ถ้าคิดง่ายๆ ก็เหลือ 2แห่ง

ถ้าเพิ่มอีกที่ WMC คิดเล่นๆ รายได้ก็ควรจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยๆ 20% (จาก 5แห่งเป็น 6 แห่ง)
แต่ตามจริงแล้ว ควรมากกว่านั้น ถ้าจำไม่ผิด เหมือนจะเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในเครือเลยนะ

นอกจากนั้น กรณีการรับคนไข้ระดับสูง คนไข้ชั้นบน มักจะมีรายรับที่ดีกว่า ไม่เหมือนกับคนไข้ชั้นล่าง ที่เน้นถูกๆ บางครั้ง ไม่มีจ่าย ส่วนนี้ทำให้ผมคาดการณ์ว่า อัตรากำไร น่าจะสูงขึ้น

แต่ปัญหาคือ ค่าใช้จ่าย ไม่ว่าลงทุนก่อสร้าง ค่าแพทย์ บุคลากร ค่าเครื่องมือการแพทย์ ที่มีราคาสูงมากๆ ประกอบกับการเปิดโรงพยาบาลใหม่ อาจทำให้คนไข้ ไม่กล้าเข้ามารักษา (ไม่ใช่พวกห้าง พวกสินค้า ยิ่งใหม่ยิ่งดีนะ)


ประเด็นส่วนนี้ คาดการณ์เล่นๆ ปีหน้าต้นปี รายได้เพิ่มแน่ แต่รายจ่ายเพิ่มมากกว่า จนกำไรลด จากการพึ่งเปิด WMC ให้ลองสังเกตุดูว่า เมื่อไหร่ที่ ต้นทุนเริ่มคงที่ แต่รายได้เริ่มเพิ่มตาม จนอัตราส่วนกำไรเริ่มกลับมาปกติ อาจจะกลายเป็นหุ้นที่น่าสนใจตัวนึงเลย (เห็นในคาดการณ์ ว่าไว้ 2ปีนะ)

Monday, November 5, 2012

บรรทึกช่วยจำ INTUCH ADVANC


ขอแจ้ง ณ ตรงนี้ก่อน ว่าผมมี  อาจทำให้เกิด Bias ด้วย ปล.มี intuch

===================20/12/12===============

ขอแจ้งเรื่อง 3 G ก่อน  สำหรับ ADVANC INTUCH นะ 
เรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบ จาก 2Gกว่าๆ เป็น 3G นะครับ 

ข้่อเสีย
โดนบังคับให้ลดค่าบริการลง ประมาณ 10-15% อาจทำให้รายได้ ลงมาเยอะ แต่ในส่วนตัวเชื่อว่า บริษัทไม่โง่ลดราคาลงมาหรอกครับ น่าจะเป็นการเพิ่มการบริการกันมากกว่า 
อย่างจ่ายเดือน 700 ได้ค่าโทร 300 ได้เน็ตไม่จำกัด และ3Gสูงสุด อีก 1GB 
อาจ เป็น 700บาท ได้ค่าโทร 400 ได้เน็ต เพิ่มเป็น 1.5GB แบบนี้มากกว่า 
* คงไม่ลดค่าบริการเลยทันที

ค่าเสื่อมจากการลงทุน ครั้งใหญ่ ทำ 3G อาจทำให้กำไรตกกระทันหันในช่วงแรกด้วย 

ข้อดี 
ได้ลดสัมปทาน จาก 24%(มั้ง) เหลือ 5-6% (มั้ง)  ทำให้ รายจ่ายลดลงจากรายได้ เกือบ20% ในกรณีที่สามารถ ย้ายลูกค้าได้หมดทั้งที ซึ่งเป็นไปไม่ได้ อาจต้องใช้เวลาสักพักนึง

นอกจากนั้น ถ้าโชคร้าย โดนลดค่าลดบริการก็อาจทำให้ คนหันมาใช้บริการ อินเตอร์เน็ตบนโทรสับมากขึ้น ซึ่งค่าบริการ data มากกว่า voice 3เท่า 

แนวโน้มอนาคตเกี่ยวกับการใช้ Cloud อีกด้วย (การส่งดาต้าผ่านเครือข่าย ทำให้คนไม่ต้องมี Hard Disk) 

สรุป ผมมองว่า หุ้นปีหน้า ไตรมาสแรก กำไร อาจจะดอปลงมา แต่สุดท้าย ระยะยาว ก็จะดีเอง
ส่วนเรื่องการแข่งขันราคา ไม่น่าจะมีอีกแล้ว เหลือ 3 เจ้า ฮั่ว อยู่แล้ว

=========================================

INTUCH 

ที่ผมสนใจนะครับ

  • เป็นบริษัทแม่ของ ADVANC และ THCOM 
  • กำไร 98% และปันผลมาจาก ADVANC แต่กลับมีส่วนลด 15-20% 
  • ปันผลค่อนข้างเยอะ เพราะรายใหญ่ อยากได้เงินสด
  • ราคา (PE) ต่ำ ในภาวะตลาดแบบนี้
  • การเติบโต ที่ค่อนข้างจะสูง จาก ADVANC 
  • ADVANC มีส่วนแบ่งตลาดสูงคิดเป็น 44%จากยอดผู้ใช้ และคิดเป็น 54% (หมายความว่า ลูกค้าที่ใช้ AIS มียอดการใช้จ่ายสูงกว่าค่ายอื่น)
  • เห็นว่าจะไปทำ TV ดิจิตอลด้วย น่าสนใจ เพราะเป็นสื่อที่สำคัญ ในการโฆษณา .... (การเมือง)