Thursday, May 3, 2012

แอบดู Jubile


สำหรับตัวนี้ ขายเพชร แหวน จี้ สารพัดความงามในตลาดหลักทรัพย์ กลุ่มนี้ผมคิดว่าน่าจะมี 2 ตัวนะ ไม่แน่ใจ คือตัว Jubile กับ pranda ความแตกต่างกันคือ jubile ขายในไทย pranda (ถ้าจำไม่ผิด) ขายในต่างประเทศ

สำหรับเรื่องการประชุมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปด้วยนะ ก็ลองๆไปอ่านดูนะครับ

สำหรับตัวนี้นะ ผมว่าตรงๆเลย ส่วนเดียวที่ทำให้ผมยังไม่อยากลง คงเป็นเรื่องผลิตภัณฑ์ ที่ผมไม่เข้าใจนะ

เพราะว่าเรื่องเครื่องแต่งกายผมยังงงเลย ผมตอบไม่ได้ว่า ต่อไปจะเป็นยังไง เพราะถ้าวันนี้ผมเชื่อว่า ถามเด็กคนนึง ระหว่างแหวน 20,000 บาท กับ Iphone 20,000 บาท ผมเชื่อว่าเด็กเลือก Iphone 

แต่ก็ยังสรุปไม่ได้ว่าจะเป็นแบบนั้นเพราะถ้าคนมี Iphone ก็อาจจะเอาแหวนแทนก็ได้ เพราะยังไง แหวนจะมีหลายกัน ก็ไม่น่าเกลียด แต่ Iphone คงไม่มีใครอยากมีหลายเครื่องหรอก (นอกจากเครื่องเก่าเสีย)

แต่ก็อย่าลืม เพชรมันเก็บไว้ได้นาน นานมากๆ อาจทำให้คนที่มีแล้ว ไม่ต้องการซื้ออีกก็ได้ แล้วจะเอารายได้มาจากไหนล่ะ 

แต่มาคิดต่อ อย่างทองคำ ก็เก็บได้นานมากๆ แต่ก็มีคนแย่งกันตลอด ราคาเลยขึ้นมาได้ขนาดนี้ แต่ผมไม่แนะนำให้ไปซื้อทองคำมาเก็บนะ ส่วนตัวผมเชื่อว่า "มันจบแล้ว" ถ้าสนใจก็ short ไปล่ะกัน

ปัญหาเรื่องเดียวที่ทำให้ผมไม่เข้าใจคือ ผมไม่ใช่คนรวย ผมไม่ใช่คนที่ชอบเรื่องพวกนี้ และผมไม่มีสังคมใกล้ตัวทีชอบเรื่องนี้ ผมเลยไม่เข้าใจ

ผมเคยคุยกับเพื่อนคนนึง ที่ทำงานอยู่ร้านเพชร ก็ถามๆไปเยอะเหมือนกันนะ

สิ่งที่ได้มาคร่าวๆ 
  • ร้านเพรชร้านใหญ่ๆ จะมีคนมาสัก 5-6 คนต่อวันเท่านั้น และตัดสินใจซื้อ 1-2 คน เหมือนประมาณว่า มาเพื่อซื้อโดยเฉพาะ
  • ร้านเล็กๆ เคาร์เตอร์ตามห้าง อันนี้ไม่รู้ แต่คนเดินผ่านเยอะแน่นอน
  • ราคาที่ซื้อกัน ก็หลักหมื่นขึ้นไป เพราะพวกนี้เป็นสินค้าราคาสูงอยู่แล้ว
  • ส่วนใหญ่ ซื้อเป็นของขวัญ มากกว่า (แบบนี้ถือว่าดีนะ เพราะการซื้อให้คนอื่น มันซื้อได้เรื่อยๆ)
  • มักซื้อช่วง คริสมาส กับ วาเลนไทน์ มากๆ (ไตรมาส 4 และ 1 คงเป็นช่วงพีค ของรายได้)
  • การออก คอลเล็กชั่นใหม่ๆ ประมาณ ปีละครั้ง สองครั้ง 


ว่ากันเรื่องของ blog นี้เลยล่ะกัน 

วิธีดูคร่าวๆ 

เรื่องของสินค้า การซื้อการขาย ลูกค้า คู่ค้า

1 สินค้าที่ใช้แล้วหมดไป

อย่างที่ว่าไป แหวนเพชร มันไม่หมดไปหรอนะ นอกจากการเอาไปทำเครื่องมือพิเศษ (เพชรมีความแข็งแรงที่สุดในโลก) หรือเอาเศษๆ กากๆ ไปทำเครื่องสำอาง (ไม่รู้มีหรือเปล่า แต่เห็นเอาทองคำไปทำอยู่)

สำหรับคนที่ซื้อ เขาซื้อเพราะอะไร ของขวัญ ก็จะดีมาก เพราะว่าซื้อแล้วให้คนอื่น ก็เหมือน หมดไป (ไปอยู่ที่คนอื่น) ส่วนนี้ผมว่าดีกว่าซื้อให้ตัวเองใส่นะ

2 สินค้าที่อาจมีการทดแทนได้ง่าย

อันนี้ทดแทนได้ง่าย หรือยาก บอกยาก เพราะมีในเรื่อง แบรนด์ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อย่างคนไม่รู้เรื่องเช่นผม เดินเข้าไปซื้อ ผมก็คงเลือกร้านไหนก็ได้ เพราะไม่รู้เรื่องนี้  แต่ถ้าเป็นคนที่รู้ และเข้าใจ ก็จะเลือกร้านเป็น และร้านไหนดีก็ซื้อร้านนั้น

การเลียนแบบ เท่าที่รู้มา แต่ละที จะมีการสร้างคอลเลกชั่นตลอดเวลา ทำให้สินค้า ทุกออกแบบมาเรื่อยๆ นอกจากนั้น เท่าที่รู้ ก็จะใช้เพชรคุณภาพสูงในการทำด้วย 

ไม่แน่ใจว่าจะเปรียบเทียบแบบ กระเป๋า หลุย ของจริงกับของปลอมได้หรือเปล่านะครับ ถ้าได้นี่ดีมาก เพราะว่าคนที่ใช้ ก็จะรู้ว่า จริงหรือปลอม และจะพยายามเลี่ยงของปลอมเสมอๆ

3 สินค้าที่มีแบรน และคนซื่อสัตย์ในแบรนด้วย

เรื่องแบรนด์ คุยกับคนในวงการแล้ว รู้จักดี แสดงว่าแบรนด์ดี กำไรขั้นต้นสูง ก็ดี แสดงว่าขายได้ และจากที่ ผบ เคยบอกว่า ไม่คิดจะลงไปแข่งด้านราคา ก็ทำให้เรามั่นใจได้ในระดับนึง ว่ายังไงก็รักษาแบรนด์ได้อยู่

4 คู่ค้า

จากที่ไปประชุมมา ทำให้ทราบว่า Jubile ไม่มีโรงงานเป็นของตัวเอง แต่จะจ้างคนอื่นเอา ซึ่งนั้นคือคู่ค้า จากที่ฟังมา บริษัทนี้จะมี โรงงานในเครือที่รับทำสินค้า ประมาณ 10 โรงงานเลยทีเดียว ทำให้มีอำนาจในการต่อรองค่อนข้างดีมาก

โดยส่วนนี้แล้ว การที่ไม่มีโรงงานผลิตเองอาจทำให้กำไรไม่มากเท่าผลิตเอง แต่ผมชอบนะครับ เพราะว่าไม่ต้องเสียเงินมากเพื่อสร้างโรงงานเอง แถมขยายงานได้เร็วกว่าเยอะด้วย

ลูกค้า

ลูกค้าก็เป็นรายย่อยทั้งหมดเลย เพราะว่า บริษัท สั่งผลิต และนำมาขายเองในรูปแบบค้าปลีก ทำให้ลูกค้าเป็นรายย่อย ซึ่งดีมากเลยในส่วนนี้

6 คู่แข่ง


อันนี้บอกไม่ถูก แต่เท่าที่รู้ ก็เรื่องว่า บริษัทขายเพชรในระดับราคาถูก ไม่แข่งเรื่องราคา เน้นคุณภาพ มากกว่า ทำให้ผมคิดว่า ok อยู่

7 วัตถุดิบ การสินค้าโภคภัณฑ์


มีเรื่องราคาของ เพชร กับ ทอง โดยในส่วนของเพชร ราคาค่อนข้าง ขึ้นทุกปี แต่ไม่รุนแรงมาก ส่วนทอง ราคาจะขึ้นลงแรงมาก แต่ต้นทุนส่วนนี้ค่อนข้างต่ำ ทำให้สบายใจไปแล้ว รวมถึงการกำหนดราคาด้วยความรู้สึก ทำให้ยังไงก็กำไร (ถ้าขายได้)


ที่ดีอย่างนึงคือ บริษัทนี้ ไม่เล่นกับราคาโภคภัณฑ์ เหมือนบริษัทอื่นๆ ที่ขาดทุนยับเลย นอกจากนั้น ยังบรรทึกสินค้าคงคลัง ในราคาที่ซื้อมา ไม่สนใจราคาที่เป็นอยู่ณเวลานั้น



8 โอกาสการเติบโตของสินค้า บริการ

ในส่วนนี้ จะเป็นเรื่องการเปิดร้านค้าแบบเคาร์เตอร์ ในห้างต่างๆมากกว่า ก็คิดว่าคงโตไปตามห้างที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเรื่องขายออกหรือไม่ออก ก็ไม่น่าเป็นปัญหา (ขายไม่ออก ก็ปิดร้านไปสิ)

ตอนนี้มีสาขาอยู่ประมาณ 80นิดๆ สิ้นปีนี้ 95 มั้งถ้าจำไม่ผิด รายได้ก็น่าจะเพิ่มด้วย

นอกจากนี้ก็จะเป็นในเรื่องของต่างประเทศด้วย 

เรื่องของตัวบริษัท งบการเงิน


1 สินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของผู้ถือหุ้น

ส่วนนี้ ค่อนข้างสบาย หนี้สินไม่เยอะมาก แถมไม่มีทรัพย์สินถาวรมาก เพราะไม่มีโรงงานนี่ล่ะ ต้นทุนจมเลยต่ำ ดี 
แถม หนี้สินที่ต้องชำระ มีกำหนดการยาวกว่า สินทรัพย์รอเงินมากอยู่ด้วย ทำให้ไม่น่าเกิดปันหาในทางนี้

2 รายได้ กำไร ROA ROE อัตรากำไรสุทธิ

รายได้ต่อสินทรัพย์ ค่อนข้างสูง และจะสูงไปเรื่อยๆ เพราะไม่จำเป็นต้องสร้างสินทรัพย์มาเพิ่มเพื่อสร้างรายได้ (เป็นเอกลักษณ์ของบริษัทค้าปลีก)
กำไรสุทธิ ค่อนข้างดี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากต้นทุนในส่วนบริหารที่ค่อนข้างจะคงที่เมือเปรียบเทียบกับรายได้ที่ขึ้นมาเรื่อยๆ
ROA ROE จะเหมือนค้าปลีกตัวอื่น เพราะว่า สินทรัพย์เพิ่มน้อยกว่ารายได้และกำไร ทำให้แนวโน้ม ROE ROA จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่คงทีเหมือนบริษัทที่รับจ้างผลิต 

3 รายได้ และ รายจ่าย

รายได้ มาจากการขายหมดเลย ไม่มีรายได้พิเศษ

รายจ่าย 
กำไรขั้นต้น ทางบริษัทนี้ บังคับให้อยู่ราวๆ 40-42% 
ทำให้ต้นทุนสินค้าไม่เกิน 60% 
ส่วนที่เหลือก็จะมีเรื่องค่าใช้จ่ายในการขาย ที่จะเพิ่มขึ้น ด้วยความเร็วไม่น่าจะเกิน รายได้ 
(ยิ่งมีการทำหน้าร้านใหม่ ทำให้ควรจะขายได้ดีขึ้นด้วย)
ค่าบริษัท คิดว่า คงเพิ่มแค่ตามเงินเฟ้อเท่านั้น 

กำไร
รายจ่ายที่นับวันจะลดลงไปจากการขยายตัวของบริษัท โดยส่วนตัวเชื่อว่าในระยะยาว มีโอกาสที่ กำไรจะขึ้นไปถึง 20% ได้เลย แต่คงต้องให้บริษัทใหญ่มากๆนะ

เรื่อง ผบ

1 บริษัทที่พึ่งเจ้าของมากเกินไป

ตอนนี้ก็เห็นได้ว่า มีการเตรียมตัว เทรนด์คนใหม่ๆ มาเรื่อยๆ อยู่

2 บริษัทที่ทำหลายอย่างเกินไป ออกนอกความถนัดเกินไป ชอบทำตามคนอื่น ขยายตัวรุนแรง


ส่วนนี้ ผมว่าดี บริษัททำเรื่องนี้อย่างเดียวเลย แถมทำมาหลายปีแล้ว ก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลย 


มาถึงตรงนี้แล้ว ผมบอกได้เลยว่า ถ้าราคามันลงมาที่จุดๆนึงแล้ว จะเป็นตัวเลือกต้นๆที่ผมสนใจเลยก็ว่าได้ ผมมั่นใจว่าดี มีอนาคต เสียเรื่องเดียวล่ะ ผมไม่เข้าใจสินค้าเลย

No comments:

Post a Comment