Monday, May 7, 2012

แอบดู PATO


******************update20/11/56**************************

กลับมาดูอีกรอบ หลังจากที่เห็นว่าเรื่อง พรบ เรียบร้อยแล้ว  ^^" 

Pato เป็นทั้งผู้นำเข้า ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายสารเคมีกำจัดศัตรู 

โดยรูปแบบที่นำเข้ามี 2 แบบ
1.รูปเทคนิคอลเกรด  (Technical Grade) (80%)- เป็นแบบเข้มข้น ต้องเอามาผสมอีกทีให้เป็นสูตรสำเร็จอีกที
2.รูปผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (Finished Product) (20%)- เป็นแบบพร้อมใช้งานเลย มักจะเอามา repack ให้เล็กลงอีกทีนึง
*การที่บริษัทนำเข้าแบบ เทคนิคอลเกรด เยอะ จะทำให้มีต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่งรายอื่นมา
และสารที่นำเข้ามาเป็น
  - สารกำจัดแมลงศัตรูพืช  40 %
  - สารกำจัดวัชพืช  50 %
  - สารกำจัดศัตรูพืชอื่นๆ ที่ไม่ใช่แมลง 10%

** ไม่มีการผูกขาดการซื้อวัตถุดิบจากผู้ขายรายใด และไม่มีการสั่งซื้อวัตถุดิบจากผู้ผลิตเกิน 30% 
สัดส่้วนการซื้อในประเทศ ราวๆ 20% ที่เหลือ 80% ต่างประเทศ


ส่วนผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ขาย มี 2แบบ (ในเชิงธุรกิจ)

1.  Specialty  Products :(30%) เป็นผลิตภัณฑ์มีการจดลิขสิทธิ์ไว้ หรือไม่มีผลิตภัณฑ์อื่นๆที่คล้ายๆกัน

2. Commodity Products :(70%)  คล้ายๆสินค้าโภคพันธ์ หมายถึง ยาที่ ใครผลิตออกมา ก็ไม่ต่างกัน ทำให้มีการแข่งขันสูง และแข่งขันด้านราคาด้วย และการตัดสินใจซื้อของลูกค้าเลยขึ้นอยู่กับเครื่องหมายการค้าเป็นหลัก

โครงสร้างรายได้ ** ขอใช้ของปี 53 แทน เนื่องจากปี 54 และ 55 (56ด้วย) มีปันหาเรื่อง พรบ เข้ามา 
รายได้มาจากในประเทศ 100% โดย
สารกำจัดแมลง ประมาณ 50% 
สารกำจัดวัชพืช ประมาณ 35%
สารกำจัดเชื้อรา ประมาณ 10%
สารกำจัดไร ประมาณ 5%

รายได้หลักมาจากภาคกลาง ราวๆ 60% 
รายได้หลักมากจาก การขายให้กับ นาข้าว 78%

บริษัท พาโตเคมีอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) นับได้ว่ามีกำลังการผลิตสารกำจัดศัตรูพืชชนิดเม็ดสูงที่สุดในประเทศ คือมีกำลังการผลิตถึง 35,700 ตันต่อปี แต่จากปัญหาที่เกิดขึ้นจาก พรบ. วัตถุอัตรายฉบับปัจจุบัน ทำให้บริษัทไม่สามารถผลิตสารกำจัดศัตรูพืชชนิดเม็ดเลยในปี 2555 

กลยุทธทางการตลาด
1. ผลิตภัณฑ์ได้คุณภาพ ขายมานานกว่า 30ปี
2. กลยุทธ์ในการกำหนดผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าขาย โดยจะไม่ให้ซ้ำกับลูกค้าอื่นๆที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ป้องกันการตัดราคา**** (กลยุทธ์แปลกดี)
3. ส่วนใหญ่นำเข้าแบบ เทคนิคคอลเกรด ทำให้ได้เปรียบเรื่องต้นทุน
4. ความสัมพันธ์ระดับ ผบ กับลูกค้า
5. ความเร็วในการบริการ ในรัศมี 200 กม ก็ส่งให้ แต่ถ้าไกลกว่านั้น จะพิจารณาอีกที โดยความรวดเร็วสำคัณมากเพราะต้องทันต่อฤดูกาลซึ่งบางทีสั้นมาก เช่นสารกำจัดวัชพืชก็ทันหน้าฝน (ฝนตกแปปๆหญ้าขึ้น) สารกำจัดแมลงต้องทันการระบาด (การระบาดจะเกิดเร็วมาก)
6. มีผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายมากกว่า 80 ชนิด

การจำหน่าย และช่องทาง มี 3แบบ
1.ตลาดของบริษัทตัวแทนจำหน่าย (Distributors) 22% 
กลุ่มนี้จะซื้อสินค้าบริษัท แต่เอาไปติดแบรนด์ตัวเอง หรือบริษัทเป็น OEM (รับจ้างผลิต) 
** ดีที่ไม่เยอะ ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

2.ตลาดของบริษัทแบ่งบรรจุ (Local Repackers) 2% 
คล้ายๆ อันแรก แต่จะขอซื้อไปแบบขนาดใหญ่ๆ แล้วเอาไป repack อีกทีนึง เพื่อขายในแบรน์ของตัวเอง
** คล้ายๆแบบแรก

3.ตลาดของลูกค้าโดยทั่วๆไป (Dealers or Free Market) 76%
มีตัวแทนไปขายตามจังหวัดต่างๆ ในแบรนด์ของ PATO 
** ดีครับ 

สัดส่วนลูกค้ารายใหญ่ 10 รายแรก เกือบ 30% ของตลาด แต่ไม่มีลูกค้ารายไหนเกิน 10%

เรื่องการกำหนดราคา  มักจะถูกกว่าของต่างประเทศ แต่แพงกว่าของในประเทศ โดยเทียบกับปริมาณการใช้ต่อไร่ กับสินค้าอื่นที่ใกล้เคียงกัน


บริษัทมีนโยบายที่จะขยายส่วนแบ่งตลาดให้มากขึ้น โดยมีความได้เปรียบคือ
- ต้นทุนต่ำจาก Technical Grade 
- เพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทข้ามชาติด้วยเหตุที่บริษัทมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า ดังที่ ได้กล่าวมา แล้วข้างต้น   บริษัทคาดว่าจะสามารถเข้าไปชิงส่วนแบ่งการตลาดในเบื้องต้นได้ปีละประมาณ 5-10% ของมูลค่าการจำหน่ายของบริษัทซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ และจะเพิ่มขึ้นในปีต่อๆไป 
- บริษัทจะขยายตลาดเข้าไปในพื้นที่ใหม่ (Vergin) อันได้แก่ พื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือพื้นที่ที่อยู่ในช่วงกำลังพัฒนาซึ่งมีสัดส่วนถึง 60% ของพื้นที่ของประเทศไทย โดยทำการส่งนักวิชาการเข้าไปแนะนำเกษตรกรให้รู้จักใช้ผลิตภัณฑ์สารกำจัดศัตรูพืชอย่างถูกวิธีเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้นและผลิตผลที่ได้มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของตลาดซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นต้น

เรื่องกำลังการผลิต 
ค่อนข้างเหลือเฟือ โดยในใช้ปีที่ใช้กำลังการผลิตสูงสุด (รวมทั้งหมดนะครับ) 
- ชนิดน้ำ กำลังการผลิต 6,482 ใช้ไป 3,903
- ชนิดเม็ด กำลังการผลิต 35,700 ใช้ไป 15,912
- ชนิดผง กำลังการผลิต 4,060 ใช้ไป 659

โรงงานเป็นผู้รับจ้างผสมปรุงแต่งจึงไม่มีวัตถุดิบเหลือใช้ หรือของเสียจากขบวนการผสมปรุงแต่ง มีเพียงแต่ภาชนะบรรจุที่อาจปนเปื้อน โดยบริษัทได้ว่าจ้างผู้ชำนาญการกำจัดของเสียที่ได้รับใบอนุญาตในการขนย้ายภาชนะปนเปื้อนเข้าขบวนการเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่หรือทำลายทิ้ง  

ความเสี่ยง
1. ด้านธรรมชาติ ภาวะดิน ฟ้า อากาศ ที่มีผลต่อลูกค้าหรือเกษตรกร โดยตรง
2. ด้านการตลาด แต่เชื่อว่าน้อย เพราะมีคนขายทั้งประเทศ และการเลือกตัวแทนไม่ให้มีการขายสินค้าเหมือนกันในพื้นที่เดียวกัน ป้องกันไม่ให้ตัดราคาสินค้า และ สินค้ายังได้รับการยอมรับจากลูกค้ามานาน และถูกกว่าผลิตภัฑณ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศด้วย
3. เรื่องเทคโนโลยยี ไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้ใช้เทคโนโลยีรขั้นสูง 
4. เรื่องสินเชื่อ
5. ความเสี่ยงในการแลกเปลี่ยนเงินตรา เต็มๆเลย เพราะนำเข้าเป็นหลัก
6. ความเสียงจาก พรบ  วัถตุอันตราย


เรื่องของงบการเงิน

**ปี 55 มีปัญหาเรื่อง พรบ

งบดุล ปี54
ทรัพย์สิน
เงินลงทุนชั่วคราวเยอะจัง  33%
ลูกหนี้การค้า 24%
*หนี้สงสัยจะสูญ ต่ำมาก ราวๆ 0.3%
สินค้าคงเหลือ 19%
*ส่วนใหญ่เป็น วัตถุดิบและบรรจุพัน เกือบ 80% 
ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 8%
สินทัพย์ไม่มีตัวตน (ทะเบียนยา) 5%

หนี้สิน เทียบกับทรัพย์สิน 16% (หนี้น้อยมาก)
ส่วนใหญ่เป็น เจ้าหนี้การค้า 57% 
และเงินกู้ยืม 21%

ที่เหลือเป็นส่วนผู้ถือหุ้น
*มี ESOP นิดหน่อย 2%

งบกำไรขาดทุนโดยรวม ปี 53-55
ต้นทุนราวๆ 65-70% ของรายได้่
ค่าใช้จ่ายในการขาย ราวๆ 5%
ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ราวๆ 4%
NPM ราวๆ 20% ของรายได้ 

งบ 3 เดือน 3/56 
ต้นทุน 63% ของรายได้
กำไรขั้นต้น 37% 
กำไร(ขาดทุน)จากการลงทุน ประมาณ 5% ของกำไรสุทธิ 
* ต้องระวังเรื่องรายได้ที่ไม่มีต้นทุนด้วย
ค่าใช้จ่ายในการขาย 5%
ค่าใช้จ่ายในการบริหาร 4% 
ภาษี 20% 

ค่าเสื่อมต่ำมากๆ

**ปันผลราวๆ 85% ของกำไรสุทธิ

สิ่งที่เน้น คือ ไม่ควรเอา ROE มาเป็นหลักในการด เนื่องจากบริษัทมีการปันผลเยอะมาก ทำให้ ROE ดูค่อนข้างจะสูงมาก แต่ที่น่าสนใจเป็นเรื่องของการเติบโต ถ้าบริษัทสามารถโตได้ 5-10% อีก โดยที่ปันผลออกมาเยอะขนาดนี้ ก็ถือว่าน่าสนใจ 

เรื่องกำลังการผลิตที่เหลือเฟือ ก็เป็นส่วนนึงที่ทำให้บริษัทไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรมากมายด้วย 



****************************************************************************
ส่วนนี้เขียนเมื่อนานมาแล้ว


Pato พาโต  จริงๆ

ตัวนี้เป็นตัวที่ผมได้มาจากการหาหุ้นด้วยวิธี ROE สูง PE ต่ำ 

เหตุผลในตอนนั้นเกิดจากการคิดว่า ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นสูง เราก็จะได้สูงตามไปด้วย แล้วถ้าเราได้หุ้นในราคาถูก ก็จะทำให้ผลตอบแทนที่ได้ ดีมากๆ ทำให้ไปพบตัวนี้ (ตัวอื่นก็มี อย่าง MCS)

ถ้าเราซื้อหุ้นที่ PE ต่ำ เราจะได้กำไรในปีนั้นเท่ากับ E/P และเมื่อระยะเวลาผ่านไป กำไรที่ได้จะได้เท่ากับ ROE 

ปัญหาคือ ถ้า Book ไม่เพิ่ม กำไรที่ได้ก็จะได้แค่ PE เท่านั้น (พวกปัญผลมากๆ)

เข้าเรื่องเลยล่ะกัน ตัวนี้ขาย ยาฆ่าแมลง ลองไปถามเกษตรกรมาล่ะ รู้จักดี แถมชอบด้วยเพราะใช้แล้วแมลงตาย เห็นผลทันตาเลย

ส่วนเรื่อง market share ก็อันดับ 7 มั้ง ไม่แน่ใจ แต่อันดับ 1 - 10 ก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก (คล้ายเครื่องสำอาง) ที่ไม่มีรายใดที่ได้ตลาดไปครอบครองอย่างมีนัยยะ 

เรื่องธุรกิจ นำเข้าสารเคมี ผสมสารเคมีเป็นยาฆ่าแมลง ขาย

ปัญหาที่เกิดในปีก่อนคือ พรบ หมดอายุ ทำให้ผลิตยาฆ่าแมลงไม่ได้ แต่เหมือนว่าตอนนี้จะผ่านแล้วมั้ง ไม่ได้ติดตาม




ตัวช่วยเลือกหุ้น

1 สินค้าที่ใช้แล้วหมดไป

ยาฆ่าแมลง ถ้าดูแบบคนรักธรรมชาติ มันไม่หมด มันตกค้างนะ แต่เราเป็นนักลงพุง เอ๊ย ลงทุน ดังนั้นยาฆ่าแมลง ใช้แล้วหมดแน่นอน

รู้จักกับเกษตรกรท่านหนึ่งมา ว่าการใช้ยาฆ่าแมลง มักใช้ช่วง ต้นอ่อน กับ ช่วงกำลังออกลูก มาก แต่ช่วงอื่นก็ใช้บ้าง

ช่วงที่เป็นพีค ก็น้ำฝน เพราะคนเริ่มทำนา

2 สินค้าที่อาจมีการทดแทนได้ง่าย

ยาฆ่าแมลงแบบรักษาธรรมชาติ อย่างเช่นพวก สารสกัดจากใบไม้ พวกนี้อนาคตน่าจะมาแรง 
เครื่องดักจับแมลง ที่เคยเห็นก็แมลงวันทอง จะมีน้ำยาล่อแมลงวัน ก็เอาไปใส่ขวดน้ำ เจาะรูเล็กๆ พอแมลงวันได้กลิ่น ก็เข้ามาตอม แต่ออกไม่ได้ ตายเต็มเลย 
มุ้งครอบสวนผัก พวกนี้ราคาค่อนข้างสูง 
อื่นๆอีกเยอะ 

ปัญหาคือ ยาฆ่าแมลง ในอนาคตคงจะแย่ลงเพราะว่า คนต่างชาติ ต่อต้านกันเยอะ อย่างผมก็เลือกผักแพง แต่ชัวร์นะ

3 สินค้าที่มีแบรน และคนซื่อสัตย์ในแบรนด้วย

สำหรับชาวบ้าน ถ้ายาตัวไหนใช้ได้ ก็ใช้ตัวนั้น จนกว่าจะใช้ไม่ได้ (ดื้อยา) ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สำหรับ ขึ้นอยู่กับว่า คนขายแนะนำอะไรให้มากกว่า 

ที่เหลือก็แค่ PATO จะทำยาให้มีคุณภาพคงที่สม่ำเสมอ และใช้ได้ผลตลอดเวลา


4 คู่ค้า

เป็นบริษัทอื่นๆ แต่ราคาสารเคมี ค่อนข้างจะมีราคากลางอยู่แล้ว จึงไม่น่ามีปัญหาในเรื่องราคา บางครั้งอาจจะได้เปรียบด้วยซ้ำ เพราะที่ไหนก็เหมือนกัน

ลูกค้า


ส่วนนี้ เชื่อว่าเป็นพ่อค้าคนกลางจะเป็นคนรับไปขาย ทำให้ต้องขายส่ง กำไรอาจจะได้น้อยกว่าที่ควร แต่ก็ยังได้กำไรที่สูงอยู่

6 คู่แข่ง


บริษัทใหญ่ๆ ในตลาดมีน้อย แล้วแต่ละรายก็ไม่ได้กินตลาดมากไปกว่ากันนัก นอกจากนั้น พรบ ยังเป็นตัวป้องกันที่ทำให้ บริษัทใหม่ๆ เข้ามาได้ยาก
7 วัตถุดิบ การสินค้าโภคภัณฑ์

เรื่องราคา สารเคมี แต่ที่ผ่านมาเหมือนไม่มีปัญหานะ

8 โอกาสการเติบโตของสินค้า บริการ

ส่วนนี้ผมคิดนะ
ข้อเสีย
ลูกเกษตรกรส่วนใหญ่ เริ่มออกมาหางานทำมากขึ้น อาจทำให้เกษตรกรมีน้อยลง
สินค้าเกษตรเริ่มต้องการสินค้าทีปลอดภัย ไร้ยาฆ่าแมลง
พรบ ที่มีเยอะ รวมไปถึงระบบ ราชการที่ห่วย

ข้อดี
แต่อนาคตคนมากขึ้น อาหารย่อมต้องมากขึ้นตาม
การใช้วิธีอื่น จะมีต้นทุนที่สูงกว่า การใช้ยาฆ่าแมลง
พรบ ที่มีเยอะ รวมไปถึงระบบ ราชการที่ห่วย >> ทำให่้รายใหม่เข้ามายาก และช้าจะระบบราชการ

เรื่องของตัวบริษัท งบการเงิน


1 สินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของผู้ถือหุ้น

หนี้สินแบบนี้ ไม่มีเลยดีกว่า 1 ในบริษัทไม่มีวันล้ม ส่วนกำไรที่ไม่โต มาจากการปันผล เกือบหมดเลยนี่ล่ะ

2 รายได้ กำไร ROA ROE อัตรากำไรสุทธิ

รายได้ต่อสินทรัพย์เยอะอยู่ เพราะไม่มีโรงงาน (มีแค่พื้นที่ผสมสารเคมี)
กำไรสุทธิ ขึ้นทุกๆปีเลย ค่อนข้างแข็งแรง
ROE เพิ่มทุกปี จากกำไรที่เพิ่มขึ้น แต่ส่วนผู้ถือหุ้นไม่เพิ่ม ถือว่าดีเพราะไม่ต้องลงทุนเลย

3 รายได้ และ รายจ่าย

ต้นทุนส่วนใหญ่มากจากการผลิต (นำยามาผสม) 
ส่วนอื่นๆน้อยมาก ทำให้กำไรที่ได้สูงด้วย

เรื่อง ผบ

เงียบมาก แทบไม่มีข่าวเลย อยากไปฟังประชุมเหมือนกัน แต่ไม่มีเวลาไป เสียดาย
1 บริษัทที่พึ่งเจ้าของมากเกินไป

อันนี้ไม่รู้ แต่เชื่อว่า เปลี่ยนเจ้าของไป บริษัทก็ยืนอยู่ได้ ด้วยแบรน์
2 บริษัทที่ทำหลายอย่างเกินไป ออกนอกความถนัดเกินไป ชอบทำตามคนอื่น ขยายตัวรุนแรง

ไม่มีปัญหาเลย เพราะว่าทำแต่ยาฆ่าแมลงเป็นหลักๆ




5 comments:

  1. วิเคราะห์ได้เยี่ยมเลยคับ
    ผมมือใหม่นะ อยากเป็น VI
    เจอข้อมูลดีๆอย่างนี้ก็ดีใจเลยครับ

    ไม่ทราบพอจะทำบทความสอนวิธีวิเคราะห์ให้ดูบ้างจะได้มั้ยครับ
    และอยากทราบว่าหาหุ้นแบบนี้ยังไง เซิจ PE แล้วไล่ดูเอาทีละตัว
    หรือว่ามีวิธีการยังไง อยากให้ช่วยแชร์ความรู้หน่อยครับ

    ขอบคุณครับ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณมากครับ
      เอาจริงๆนะ ผมวิเคราะห์ ผ่านๆ ไม่ค่อยได้เรื่องหรอกครับ
      ของจริงมากกว่านี้เยอะครับ (ถาม VI ตัวจริงดูนะครับ ผมแค่VIเบื้องต้น)

      วิธีการเลือกหุ้นก็ http://panwasit-stock.blogspot.com/p/blog-page_19.html

      การหาหุ้นก็ http://www.doohoon.com/ หรือ http://www.richerstock.net/stock/stocksymbolranking.php?peratiorank=DESC&page=1

      ก็ได้ครับ ส่วนการดู ผมเคยดูทุกตัวแล้วนะครับ แต่ดูผ่านๆเท่านั้นเอง ดูงบ ดูว่าทำอะไรบ้าง เท่านั้นครับ ไม่ได้ดูละเอียดมากครับ

      ยังไงสงสัยอะไร ถามได้นะครับ

      https://www.facebook.com/panwasit.teerawatanasuk

      Delete
  2. ตัวนี้ผมดูมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ซื้อเก็บไว้บ้าง ผมเน้นปันผล บริษัทไม่เจ็ง โตต่อเนื่องไม่ต้องมากก็ได้ เคยถามเพื่อนที่เป็นเซล์ขายยาฆ่าแมลงและสารกำจัดศรัตรูพืชแล้ว เค้าบอกว่าบริษัทนี่้ดีใช้ได้ แต่ไม่ได้เป็นอันดับ 1 ร้านขายยาฆ่าแมลงแถวบ้านก็มีขายสืนค้าของบริษัท ส่วนตัวผมคิดว่าใช้ได้นะ กังวลก็แค่เรื่อง พรบ.ยาฆ่าแมลง

    ReplyDelete
    Replies
    1. ดีครับ เรื่อง พรบ ผมว่าเป็นเรื่องดีนะ เพราะบริษัทเปิดใหม่จะเข้ามาไม่ได้ กลายเป็นว่า บริษัทเก่าๆ ก็ยิ่งได้ใจเลยล่ะครับ
      เรื่องยา ผมรู้จักทั้ง เกษตรกร ทั้งคนขาย รู้จักแล้วก็ใช้ด้วย บอกว่าดี และได้ผลนะครับ ^^

      Delete
  3. คือไม่ได้กังวลเรื่อง มีพรบ. แล้วบริษัทจะมาเปิดใหม่ไม่ได้ แต่กังวลเรื่องพรบ.ทะเบียนยาที่หมดอายุแล้วยังต่อไม่ได้ จากคนในวงการ บอกว่าตอนนี้ เจ้าหน้าที่ที่ทำเรื่องต่อทะเบียนยายังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไง(อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจ ว่าเป็นกฎหมายใหม่รึเปล่า) ถ้าต่อทะเบียนยาไม่ได้ ก็ไม่มียาใหม่เข้ามาขาย บริษัทที่ไม่ได้อยุูในตลาดหลักทรัพย์ ก็หายาผี ยาเถื่อน สวมทะเบียนยาบ้างมาขาย แต่ถ้าเป็นบริษัทจดทะเบียนไปทำอย่างนั้นมันผิดกฎหมาย บริษัทต้องตรวจสอบได้ เลยไปทำอย่างที่บอกไม่ได้ ตอนนี้บริษัทบอกว่าขอทะเบียนยาได้บางตัว อาจจะแค่1หรือ2 ตัวอันนี้ไม่รู้ ถึงจะบอกว่าสินค้าที่มีอยู่สามารถครอบครองและจำหน่ายได้ 2 ปี แต่ดูงบปีที่ผ่านมา สินค้าคงเหลือลดลงมากจากไตรมาสก่อน ถ้าขายกันจริงๆผมว่าไตรมาส2ก็ไม่มีสินค้าที่จะขายแล้ว ถ้าไม่ได้ทะเบียนยาเพิ่ม หรือทำอะไรบางอย่าง อาจจะต้องพิจารณากันอีกที 555

    ReplyDelete