ตอนนี้ ทาง SIS มีปัญหา ต้องขออภัย ที่เคยแนะนำรอ Turn around ด้วย
เนื่องจาก สินค้าหลัก HTC และ BB ต่างขายไม่ดี ทำให้ต้องลดราคาลงมามาก เพื่อระบาย สต็อค
นอกจากนั้น ทาง Samsung ก็ได้ตัดสินใจ ขายเอง เปิด Shop เองด้วย ทำให้เกิดปัญหาอย่างหนัก
ปัจจุบัน ยอดขาย ทั้ง Samsung และ Iphone ทำให้เพิ่มสูง และยอดตลาดรวมลดลง 2555
เป็นคนขายให้กับ สินค้ากว่า 70 ราย (54% มาจาก 3 ราย) และมีลูกค้ามากกว่า 5000 ราย
ส่วนใหญ่ จะขายในกทมเป็นหลัก แต่ก็ต่างจังหวัดบ้าง ซึ่งกำลังขยายไปในต่างจังหวัดด้วย
รายได้ส่วนใหญ่ มาจาก โทรศัพท์ (เติบโตอย่างมาก) กับ ร้านค้าปลีกขายคอมพิวเตอร์(ไม่ค่อยโต) เป็นหลัก
จากที่ทราบมา น้ำท่วม ทำให้เกิด หนี้ NPL ขึ้นมา (ให้สินเชื่อรายย่อยเยอะ) แต่ก็มีการซื้อประกันภัยหนี้เสียไว้ด้วย (ประกันมันมีด้วยหรอ พึ่งรู้)
นอกจากนั้น ระยะเวลาสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นมาก เป็น 37.9 วัน (สงสัยติดน้ำท่วม) ปกติราวๆ 20-25 วัน โดยนโบบายว่าไว้ สินค้าจะเก้บไม่เกิน 30 วัน เพราะพวกนี้ ล้าสมัยเร็ว แล้วก็มีการตังสำรองสินค้าล้าสมัย ตั้งคนดูแลสินค้าด้วย
ปล พึ่งรู้ว่า 30 วันนี่ ล้าสมัยแล้วหรอ - -"
นอกจากนี้ ก็เล่น dollar future ด้วย คือสินค้าประมาณ 43% มาจากการซื้อจากต่างประเทศด้วย เลยต้องลดความเสี่ยงจากค่าเงิน
มาดูเรื่องของเรากันดีกว่า
เรื่องของสินค้า การซื้อการขาย ลูกค้า คู่ค้า
1 สินค้าที่ใช้แล้วหมดไป
ตอนนี้ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจแล้ว ว่าสินค้า IT มันใช้แล้ว หมดไปหรือเปล่า
เพราะเห็นเพื่อนๆ รวมไปถึงแฟนใช้ อย่างพวกกรอบโทรศัพท์ ใช้แปปๆ ทิ้งอีกล่ะ หรืออย่าโทรศัพท์ ก็ไม่ได้ใช้นานมากนัก เห็นหลายคน ไม่ถึงปีก็มีใหม่ เปลี่ยนบ่อยกว่ากระเป๋าแบรน์อีก ผมเลย งงๆ ว่าคนสมัยนี้คิดยังไง
อย่างพวกของมือสอง สินค้ามือสอง ก็ไม่ต้องคิดเลย ราคาตกแทบขายฟรีเลย เพาะขนาดมือหนึง แต่ช้าไปไม่กี่เดือน ราคาก็ร่วงเอาๆ
ผมมองว่าคล้ายเสื้อผ้า แต่ราคาจะถูกลงเรื่อยๆ ในอัตราเร่งเลยล่ะ เหมือนเสื้อสมัยก่อน ราคาแพงมาก ตอนนี้ อาหารมื้อหนึ่ง อาจแพงกว่า แถมเรื่องเทคโลโนยี ก็พัฒนาเร็วเวอร์ ทำให้สินค้าเก่าแล้วเก่าเลย คงไม่มีใครเอาคอมเก่าๆ มาใช้เป็นของไฮโซหรอกนะ
2 สินค้าที่อาจมีการทดแทนได้ง่าย
ธุรกิจนี้ เป็นผู้รับมาขาย ดังนั้นสินค้าทดแทนก็คือเจ้าอื่น ที่รับมาเหมือนกัน และธุรกิจ IT เองก็แข่งกันเองอยู่แล้ว นานๆทีจะแหกแนวอย่าง apple สักบริษัทนึง ดังนั้น ตัวสินค้า เป็นตัวมันเองที่แข่งกับตัวเอง
วิธีแก้ไขก็ต้องให้สินค้า ซื้อมาแล้ว ขายไปให้เร็วที่สุด ในปริมาณที่มากพอจะลดต้นทุน แต่ก็น้อยพอที่จะขายหมด ไม่เหลือไว้ในคลัง ก็ส่วนนึง นอกจากนั้นก็เรื่องผู้รับสินค้าด้วย ว่ากะถูกหรือไม่
3 สินค้าที่มีแบรน และคนซื่อสัตย์ในแบรนด้วย
ธุรกิจนี้ ไม่ได้มีแบรน์ มากนัก (หรือเราไม่รู้) คิดว่าขายให้เฉพาะ ค้าปลีก เลยไม่มีหน้าร้านขายให้กับรายย่อย ไม่เหมือนพวก IT City ที่มีหน้าร้าน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าแบบไหนจะดีกว่า
* สินค้าไอที พวกนี้ในอดีต ผมเคยเห็นบางร้าน มีเต็มร้านเลย แต่เดียวนี้ ร้านนึง มีแค่ไม่กี่ชิ้น บางทีเราไปซื้อ เขาวิ่งไปเอามาจากร้านอื่นเฉยเลยก็มี
* ราคาไม่แน่นอน อย่างร้านค้าที่คนผ่านเยอะๆ จะแพงกว่าร้านค้าที่คนน้อยๆ ประมาณ 10-20% เลย
* สมัยก่อน สินค้าจะมีเล็กมีน้อยมาก เวลาซื้อที่นึง ก็ต้องซื้อหลายๆชิ้น ซึ่งกำไรมากกว่า แต่ตอนนี้ มันน้อยลง มันเอามารวมกันหมด แถมถูกกว่าเมื่อก่อนอีก อย่าง คอม สมัยก่อน ต้องมี จอ CPU คีย์บอร์ด เม้าส์ สายระโยงระยาเลย แต่ตอนนี้ มีแต่หน้าจอ (I-pad) งงเลย
4 คู่ค้า
มีหลายเจ้านะ แต่เจ้าหลักๆ 3 เจ้ากินไปเกิอบครึ่งแล้ว (54% มาจาก 3 ราย) อาจทำให้มีปัญหา ถ้าจู่ๆ เจ้านั้นเกิดปัญหาอะไรขึ้น ทำให้สินค้าไม่ส่งมา แต่เท่าที่ทราบ ทางบริษัท กำลังแก้ไขอยู่ โดยเพิ่มสัดส่วนของรายที่เหลือให้มากขึ้น
5 ลูกค้า
ลูกค้าเป็นร้านค้าปลีกส่งใหญ่ เยอะมาก ทำให้ไม่น่ามีปัญหามากนัก แต่ปัญหาคือการกระจุกตัวของลูกค้า ส่วนใหญ่เป็น กทม น้ำท่วมรอบที่แล้ว เลยแย่กันไปหมดเลย
นอกจากนั้น ยังมีการช่วยค้าปลีกให้โตเร็วด้วยการให้สินเชื่อด้วย ปัญหาคือ เวลาเจอ NPL ที แย่แน่ๆ
6 คู่แข่ง
ในตลาดนี้ คู่แข่งเยอะ (ไม่แน่ใจว่า คนเข้ามาแข่งเยอะ เพราะว่าดูน่าจะกำไรมากหรือเปล่านะ) แต่ที่่ผ่านมา บริษัทก็ทำให้ดีมาตลอด (ได้การขายโทรศัพท์ มาช่วยเยอะ) โดยส่วนแบ่งตลาด ก็ขึ้นทุกปีด้วย ปัจจุบัน ประมาณ 25% ของทั้งหมด (ใน 56-1)
7 วัตถุดิบ การสินค้าโภคภัณฑ์
ส่วนของสินค้าโภคภัณฑ์นี้ พึ่งรู้เหมือนกันว่า ตลาด IT ก็มีโภคภัณฑ์นะ อย่างช่วงน้ำท่วม ราคาพวก Hard disc แพงมากๆเลย ขึ้นไปเป็นเท่าตัวเลยล่ะ
ส่วนที่เหลือ ก็คงเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าง ตะกั่ว มั้ง ซึ่่งไม่คิดว่า จะมีผลขนาดนั้นนะ
8 โอกาสการเติบโตของสินค้า บริการ
เท่าที่เขาบอกมา ต่างจังหวัด ยังมี room อีกเยอะ แล้วก็ปัจจุบัน ครอบครัวไทย มีคอมใช้ 24% (จริงหรอ บ้านผมเอง ถ้านับๆดู รวมถึงเปลี่ยนเครื่องด้วย เกิน 10 ตัวแล้วนะ)
แต่ยุคนี้ ผมก็เชื่อนะว่า จะโตได้เรื่อยๆ
เรื่องของตัวบริษัท งบการเงิน
งบรวม
หนี้สินบานเลย แต่ปกติพวกค้าขาย ก็เยอะอยู่แล้ว
ส่วนผู้ถือหุ้นก็โตเรื่อยๆ แต่ไม่ค่อยมากนัก
2 รายได้ กำไร
รายได้เพิ่มขึ้นทุกปี น่าสนใจเหมือนกัน
แต่กำไรปีนี้ตก จาก น้ำท่วม (อีกแล้ว)
3 ROA ROE
2ปีที่ผ่านมา คงดูไม่ได้เลย สำหรับ ROA ROE ต้องไปดู 51 52 53 เลย ถึงจะพอกะได้
สำหรับบริษัทนี้ ROE มากกว่า 26% ถือว่าดีมากนะ แต่Bv มันไม่ค่อยเพิ่มมากนัก
อัตรากำไรสุทธิ
ที่ผ่านมา อัตรากำไรสุทธิ ค่อนข้างจะอยู่ราวๆ 1.71 % แบบแข็งแรงพอควร แต่ช่วงนี้แย่ เลยตกไปที่ 0.48% แต่ธุรกิจพวกนี้ กำไรน้อย เน้นปริมาณเข้าสู้แทน
งบดุล
สินทรัพย์มาจาก ลูกหนี้การค้า กับ สินค้าคงคลัง แต่ปีนี้ เยอะขึ้นเยอะเลย คงทั้งเก็บหนี้ไม่ได้ แล้วก็ขายของไม่ออกตอนน้ำท่วมล่ะมั้ง
หนี้สินจากการกู้เงินธนาคาร เยอะ เจ้าหนี้การค้าก็เยอะ แต่น้อยกว่ากู้ธนาคาร
เข้าใจว่า ช่วงน้ำท่วม ทำให้ ขายสินค้าไปออก แต่ก็ต้องเอาเงินไปคืนกับ คู้ค้า(เจ้าหนี้) แล้ว เลยต้องไปกู้เงินมาคืนแทน ทำให้เงินเบิกเกินสู้มาก
ค่อนข้างเหนือยนะ เพราะเงินกู้เยอะมาก
รายได้หลัก เพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่รายได้อื่นๆ เพิ่มเยอะมาก (แต่รวมๆกัน ก็นิดหน่อย)
ต้นทุนการขาย สินค้า เพิ่มขึ้นเยอะมาก (เยอะกว่า รายได้อีก)
(ไม่แน่ใจว่ายังมีเรื่องน้ำท่วมอีกหรือเปล่า ต้องรอดูไตรมาส 2 ว่าต้นทุนยังเยอะอยู่ไม)
แล้วก็มีต้นทุนเงินกู้อีก ที่เพิ่มมาก (แต่อัตราส่วนน้อยมาก)
ทำให้รายจ่ายมันเยอะ
แอบเห็นค่าบริหาร ลดลง ดีๆ
ว่าแต่ ทำไม ถาษี มันโดนเยอะจัง ปีก่อนไตรมาสแรก 37% ปีนี้ 57% เลย งง
ดู งบปี ดู ปี 54 โดนภาษี 47% ปี53 แค่ 30% เองนะ
คำอธิบาย
จำนวนภาษีเงินได้ในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จและงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมมากกว่าจำนวนภาษีเงินได้ที่คำนวณโดยการใช้อัตราภาษีเงินได้คูณกับยอดกำไรสุทธิตามบัญชีสำหรับปี เนื่องจากความแตกต่างระหว่างการรับรู้ค่าใช้จ่ายทางบัญชีกับค่าใช้จ่ายทางภาษี
บางรายการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับหนี้สงสัยจะสูญและค่าใช้จ่ายที่ไม่ถือเป็นรายจ่ายทางภาษีซึ่งรับรู้ในงบกำไรขาดทุน
งบกระแสเงินสด
กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน
กำไรลดลงมาก ในไตรมาส 1 แล้วก็มีการกู้เงินมามากด้วย
ลูกหนี้การค้าลดลง สินค้าคงเหลือลดลง น่าจะเริ่มแก้ไขปัญหา จากน้ำท่วมได้ดีขึ้น เจ้าหนี้การค้าลดลง คาดว่า สินค้ายังเยอะอยู่ เลยไม่ได้สั่งมาเพิ่มละมั้ง
เงินสดในการดำเนินงาน หายไปเยอะเลย
กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงุทน
แทบไม่มี
กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน
อย่างที่บอก กู้ยืมเยอะมาก คาดว่า จะขายสินค้าไม่ทัน เลยต้องกู้เงินคืน คู่ค้าก่อน เพราะคงมีกำหนดเวลาไว้อยู่
ก็ถ้าจะเล่นตัวนี้ ผมสนใจจะเล่นสั้นๆ(ประมาณ 1ปี) มากกว่า เพราะว่า ดูในส่วนของ กำไรขั้นต้น ที่ต่ำลงมาก จาก 1.7 >> 0.5 ลงมาเกือบ 70% แค่มันกลับไปที่เดิม กำไรก็จะขึ้นมาจากปีที่แย่ๆ 3 เท่าเลย
แต่ธุรกิจนี้ ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ มันเหนื่อย แล้วก็คู่แข่งเยอะ เน้นปริมาณขายเข้าสู้ ด้วย แถมเท่าที่ดู ก็ไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากนัก (หรือผมไม่รู้ ไม่น่าใจ) ยังไงก็ต้องดูกันต่อไป