Thursday, December 26, 2013

บรรทึกช่วยจำ RS edit 27/12/2556

update เรื่อง DIGITAL TV

สรุป เกินคาด (ในทางที่แย่) คือต้นทุน digital TV สูงมาก ประมูลมาเกือบ 2300 ล้านบาท (ผมให้เป็น 2300ล้านบาทเลยนะ) อึ้งกิมกี่เหมือนกัน ก็สรุปคร่าวๆก่อนว่า เวลาจ่ายเงิน ให้ทะยอยจ่ายเป็นช่วงๆ ทั้งหมด 6 ปี

ปีที่ ค่าประมูลตั้งต้น 380 ส่วนเกิน 1920 รวม
1 50.00% 190 10.00% 192 382
2 30.00% 114 10.00% 192 306
3 10.00% 38 20.00% 384 422
4 10.00% 38 20.00% 384 422
5
0 20.00% 384 384
6
0 20.00% 384 384




รวม 2300

โดยรวมแล้ว ถือว่าโชคดี ที่ให้ทะยอยจ่าย ในสิ้นไตรมาส3/56 มีเงินสดราวๆ 502ล้านบาท  ก็อย่างน้อย จ่ายปีแรกไป ก็คงไม่จำเป็นต้องกู้เงิน มี RS-w2 อีก 140 ล้านหุ้นที่ หุ้นล่ะ 1.9 บาท ราวๆเกือบ 280 ล้านที่จะมาก่อนกลางปีหน้า ก็ไว้จ่ายปีที่ 2 ได้อยู่ ส่วนที่เหลือ คิดว่า กำไรก็น่าจะพอสำหรับการจ่ายแล้ว คงไม่จำเป็นต้นคิดถึงเรื่อง ต้นทุนทางการเงิน

ส่วนที่จะออกมาในงบการเงินคือ ต้นทุนค่าประมูล 2300ล้านบาท หาร 15ปี (เป็นเส้นตรง) คือ 153ล้านบาทต่อปี ต้นทุนค่าเช่า network 60ล้านบาทต่อปี ดังนั้น RS ต้องจ่าย 213 ล้านบาทต่อปี ส่วนค่าทำช่องไม่มี เพราะ เอาช่อง 8 มาลงต้นทุนต่ำ

อีกเรื่องที่น่าดีใจ ก็คงเรื่อง บอลโลก ที่ตอนนี้เราเป็น Free TV แล้ว น่าจะเอาบอลทุกรอบมาฉายในช่อง 8 ทั้งหมดเลย น่าจะเป็นตัวเร่งและทำให้คนรู้จักช่อง 8 ได้มากขึ้นอีก

โดยรวมแล้ว ยอมรับว่าค่าประมาณมันเยอะเกินไป ตอนแรกกะไว้ 1000ล้าน เกินมา 2 เท่ากว่าเลย T^T เศร้าเหมือนกัน แต่โดยรวมก็ถือว่ายังรับได้อยู่

ใคร ใคร่ ซื้อ ก็ซื้อ ใคร ใคร่ ขายก็ขาย ผมเพียงเอาข้อมูลมาให้ดูเฉยๆ ไม่ได้หวังจะให้ซื้อตามหรือขายตาม วันนี้ผมอาจจะไม่มีแล้ว หรือผมอาจจะมีมากขึ้น ผมก็คงไม่พูดอะไร เพียงแต่เงินของคุณ ก็ขอให้มันขาดทุนด้วยตัวคุณเองล่ะกัน

***************************************************************************
เพิ่มเติม Q3/56


กำไรขั้นต้น
เพลง 114ล้านบาท ลดลง 13.9% สัดส่วน 33%
สื่อ 211ล้านบาท เพิ่มขึ้น 96% สัดส่วน 60%
โชว์บิต 26ล้านบาท ลดลง 46.24%สัดส่วน 7%
กำไรขั้นต้น +27.41%


กำไรสุทธิโต 56.1% (มีหุ้นแปลงสภาพจากวอแรน)
fin เลยครับ

ตอนนี้หุ้นเกือบ 1พันล้านหุ้นล่ะ คิดเป็น1พันล้านไปเลย ก็กำไรราว 0.124 บาท ในไตรมาส นี้นะ

CF
ก็มีที่น่าสนใจคือค่าเสื่อมที่เพิ่มขึ้นจาก 61.3พันล้าน เป็น 168.4 พันล้าน เพิ่มขึ้นเยอะมาก (ส่วนนึงน่าจะมาจาก ลาลีก้า)

Oppday

สรุป ลาลีก้าไม่ค่อยดีนะครับบบบบสำหรับ season 1 ส่วน season2 คงก็คงไม่ดีเหมือนกัน
ตอนนี้้้ช่องดาวเทียมย้ายมาไทยคม 6แล้ว โดยเช่าเหมาช่องเอา
ตอนนี้ shop 77 เปิดมา ดูท่าปลายปีนี้ น่าจะทำกำไรได้เลย ก็ทำงงเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนดูช่องที่ขายของตลอดเวลาด้วย ต้นทุนก็ต่ำด้วย สบายเลย
ปีหน้าเตรียมเปิดดาวเทียมเพิ่ม 2-3 ช่อง และเรื่องการปรับค่าโฆษณาขึ้นด้วย

มีละครฟอร์มใหญ่ ผู้ชนะสิบทิศ มาด้วย เริ่มการฉายแล้ว






ส่วนตัว 

ถ้าให้เดาเล่นๆ ไตรมาส 1-2 ปีก่อน กำไร 0.2บาทมั้ง ไตรมาส 3-4 กำไรน้อยลง เหลือ 0.12บาท มั้ง น่าจะมาจาก ค่าลิขสิทธิ์ลาลิก้า ที่ทำให้ขาดทุน พอไตรมาส 3 ปีนี้ ค่าลิขสิทธิ์ก็โดนเหมือน ไตรมาส 3 ปีก่อน ทำให้กำไรมันเพิ่มเยอะ กลายเป็นลาลีก้าทำให้ต้นทุนพุ่งขึ้นมาแทน ถ้าหมด season3 เมื่อไหร่ ก็แสดงว่าตอนนั้น กำไรจะกลับมาดีอีกครั้งนึง (ให้เดาแย่ๆ ว่าseason 3 ขาดทุนนะ)

ถ้าสรุปจากข้อมูล แล้วเชื่อใน ผบ ก็คือ ไตรมาส 1/57 จะโดนกดกำไรจาก TV digital (ถ้าได้ประมูลนะ)  ไตรมาส 3/57 จะโดนกดกำไรจากเริ่มลาลีก้า season 3 (ช่วงแรกของลาลีก้า คนดูน้อย)

กำไรน่าจะดูดีหลังจากไตรมาส 3/57 ขึ้นไป เพราะไม่มีอะไรใหม่ๆมาเพิ่มแล้ว ก็จะได้ทั้ง ลาลีก้าหมดไป TVdigital ถึงจุดคุ้มทุน ด้วย

ส่วนไตรมาส 4 ปีนี้ ก็น่าจะดีกว่าปีก่อน เพราะเชื่อว่าปีก่อน แย่เพราะลาลีก้า ปีนี้ก็คงแย่เพราะลาลีก้าด้วย คิดว่าน่าจะโตไปในแนวทางเดียวกับไตรมาส 3 ปีนี้

แล้วก็รู้สึกดี ที่รู้ว่า กำไรที่หายๆไป เพราะลาลีก้านะ อย่างน้อยๆ ถ้าตัดลาลีก้าออก กำไรก็คงจะดีกว่านี้ ไตรมาส 2/56 ขาดทุนลาลีก้า 77ล้าน ส่วนไตรมาสอื่น ไม่รู้ ถ้าสมมุติขาดทุนเท่ากัน ทั้งปีก็ขาดทุนจากลาลีก้า 300กว่าล้านบาท เทียบกับกำไรทั้งปีของปีนี้ (เดาเล่นๆ 400ล้านบาท) ก็เหมือนกำไรหายไปก้อนใหญ่เลยทีเดียว 

และเรื่องสุดท้าย ยังไงถ้ารายได้โตระดับ 20-30% ได้ กำไรมันควรจะโตมากกว่านั้น จากรายจ่ายที่ไม่น่าจะโตมากกว่ารายได้ อัตรากำไรสุทธิต้องดีขึ้นอีกด้วย

***แนะนำ ขายทิ้ง สำหรับคนที่ไม่เข้าใจแล้วหวังจะได้กำไรนะครับ***

***************************************************************************
เพิ่มเติมเรื่อง DIGITAL TV
การแบ่งจ่ายค่าประมูล
ค่าประมูลเริ่มต้นที่ 380 ล้านบาท
** สมมุติสิ้นสุดที่ 1000 ล้านบาท

Reserve Price Payment คือ 380 ล้านบาท
Surplus Payment คือ 620 ล้านบาท (1000 - 380)
จะทยอยตัดตามสัดส่วนในปีนั้นๆ

*network coverage เป็นการครอบคลุมของประชากร

ค่า network ปีล่ะ 60 ล้านบาท

บริษัทที่ใช้วัดเรตติ้งจะเริ่มวัดเรตติ้งในปีแรกเลย เหมือน Sat TV ในอดีต
RS ตั้งใจจะให้ Breakeven ในปีแรกเลย

***************************************************************************

เพิ่มเติม Q2/56 (ช้าหน่อย ขี้เกียจพอดี)
รายได้เพิ่ม +13.14%
รายได้จากเพลง -13.93%
รายได้จากสื่อ +68.73%
โชว์บิซ -28.26%
อื่นๆ -93.93% (น้อยมาก)
โดยรวมแล้ว ธุรกิจสื่อ มีสัดส่วนรายได้ 57.54% เป็นธุรกิจเดียวที่ดึงรายได้รวมจนกำไรได้ ก็ตามคาด รายได้จากเพลงลดลงนิดหน่อย มากกว่าที่คิดหน่อย แต่เฉยๆ รายได้จาก โชว์บิทค่อนข้างแย่ แต่ไม่เป็นไร กำไรส่วนนี้น้อย

ต้นทุนขาย +4.44%  (สัดส่วน 56.87%)
ต้นทุนเพิ่มน้อยสบาย

ค่าใช้จ่ายในการขาย +104.89%  (สัดส่วน 7.39%)
ค่าใช้จ่ายในการบริหาร +23.59%  (สัดส่วน 18.85%)
ค่าใช้จ่ายในการขายส่วนนี้ เพิ่มเยอะ แต่สัดส่วนยังไม่เยอะมาก

ต้นทุน + ค่าใช้จ่ายรวม เพิ่ม 13.36% เพิ่มมากกว่า รายได้อีก = ="

กำไรก่อนหักดอก หักภาษี +15.22%
กำไร +23.59% (เพิ่มจาก ภาษีลดลงจาก 30% > 23% )

โดยรวมแล้ว ถ้าไม่ดูรายละเอียด ค่อนข้างผิดหวัง กำไรโตน้อยมาก
แต่พอมาดู Opp day เลยเข้าใจ
มาขาดทุน ลาลีก้าหนักไปหน่อย (เท่าที่เข้าใจคือ ลาลีก้า ตัดค่าลิขสิทธิ์ไป แต่เก็บรายได้ไม่ได้ เพราะติดกฎ กสอช ทำให้่ผลออกมา ขาดทุนจากลาลีก้า 77ลบ)

มาดู EBITDA ดีกว่า
เข้าใจง่ายกว่าขึ้นอีกหน่อย ว่ากำไรมันหายไปไหนบ้าง

***************************************************************************

เพิ่มเติม Q1/56
รายได้เพิ่มตามคาด +22% 
รายได้สื่อ +53% 
พลาด เรื่องแรก ลืมไปรายได้จากสื่อปีก่อนมีรายได้จาก Free TV แต่ปีนี้ ไม่มีแล้ว 
รายได้จากเพลงที่ว่า น่าจะลดลง กลายเป็นว่าขาย MP3 ผ่านการดาวโหลดได้ดีขึ้นมาก 
นึกว่าธุรกิจสื่อโฆษณาทาง TV จะไม่มีเรื่องฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้อง (ยังชัวร์)
รายได้จากโชว์บิต ตามคาด 

ต้นทุนเพิ่ม +12% 
กำไรขั้้นต้น +41% 
ต้นทุนตามคาด 
กำไรขั้นต้น ต่ำกว่าคาด จากรายได้จากสื่อผิดคาด (เรื่อง Free TV)

ค่าใช้จ่ายในการขาย +73%
ค่าใช้จ่ายในการบริหาร +31%
รวมค่าใช้จ่าย +36%
ค่าใช้จ่ายเพิ่มเกินคาด ไม่แน่ใจว่ามาจากส่วนไหนบ้าง ต้องลองเช็คดูอีกที

กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษ๊ + 31%
กำไร +24%
* มีหุ้นไดรูทอยู่
มีเงินกู้ก้อนใหญ่ ทำให้มีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น... นึกไม่ถึง 


***************************************************************************

อ่านรายละเอียดคร่าวๆ
http://panwasit-stock.blogspot.com/2012/12/sat-tv.html

IR RS ใน Face book
https://www.facebook.com/pages/Rs-ir/256459961140733?fref=ts

*ราคาปัจจุบัน ค่อนข้างแพง ไม่สิ แพงเลยล่ะ ขอให้ใช้วิจารณาในลงทุนนะครับ

RS : บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน)



เข้าใจว่าทุกคน น่าจะรู้จักบริษัทนี้ดี เพราะเป็น 2 ค่ายใหญ่ในประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจเพลงมานาน สำหรับผมเองก็รู้จักจากเพลงนี่ล่ะ (อีกค่าย GMM) 

ส่วนตัวแล้ว ผมเข้าใจมาตลอดว่ามันทำเพลงขาย แล้วเก็บกำไรจากส่วนนั้น ซึ่งผมมองว่าไม่ค่อยจะดี (ที่จริงก็ไม่ค่อยดีจริงๆนะ) เพราะปัจจุบันนี้ มีทั้งแผ่นผี CD เถื่อนมากมาย ซึ่งทั้งคนซื้อคนขายต่างได้ผลประโยชน์ด้วยกัน ทำให้สินค้าลิขสิทธิ์มันขายไม่ได้ เพราะแพงกว่ามาก นอกจากนั้นการดาวโหลดในเวปเถื่อนต่างๆ กลายเป็นของฟรีไปเลย ก็มีเยอะมาก ผมเลยมองว่า ธุรกิจนี้ ทำไปแย่แน่

แต่ที่กลับมาสนใจในรอบนี้ มีสาเหตุหลักๆมาจากเรื่อง SAT TV นี่ล่ะ 

เอาเรื่องอื่นก่อนล่ะกัน

ปัจจุบัน RS ทำธุรกิจหลักๆ 3 ช่องทาง (ดูในงบการเงินดู) คือ ธุรกิจเพลง ธุรกิจสื่อ ธุรกิจโชว์บิซ 

ธุรกิจเพลง เป็นธุรกิจที่เก่าแก่มานาน ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้หวังรายได้จากธุรกิจนี้มากนัก ส่วนเรื่องรายได้เอง ก็ค่อยๆลดลงเรื่อยๆ กำไรก็พอมีเรื่อยๆ พออยู่ได้ด้วยตัวมันเอง 

โดยรายได้เองมาจาก
  • รายได้จากการขายผ่านระบบดิจิตอล เช่น download เพลง ผ่านทาง itunes WAP การฟังเพลงออนไลท์ ,การ Download Ringtone ,การใช้ Ring back tone (เพลงรอสาย)
  • รายได้จากการขาย CD DVD ทั้งเพลงใหม่ และเพลงเก่า คอนเสริ์ตต่างๆ
  • รายได้จากการบริหาร คอนเทนส์เพลง กับธุรกิจอื่นๆ อย่างสัมภาษณ์วิทยุต่างจังหวัด ทำกิจกรรมต่างๆ
  • รายได้จากการเก็บค่าลิขสิทธิ์เพลง ที่ถูกใช้ในเชิงพาณิชย์ต่างๆ

โดยมีศิลปิน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มไทยสากล กับกลุ่้มไทยลูกทุ่ง

*ปล. R-SIAM นี่ ทำเพลงออกมา สนุกดีจริงๆ

*จาก Opp day 


ธุรกิจโชว์บิซ มีรายได้มาจาก
  • จัดคอนเสริ์ต และ อีเวนต์ รับจัดงานเท่าๆไปด้วย
  • บริหารศิลปิน นำศิลปินในเครือมาจัดคอนเสรื์ตบ้าง โชว์ตัวบ้าง เพื่อเพิ่มรายได้ในกับ ศิลปินเอง


*จาก Oppday

ในธุรกิจโชว์บิต กำไรค่อนข้างน้อย เข้าใจว่ารายได้ส่วนนึงแบ่งให้กับดารานักแสดงพอสมควร เพื่อให้เขาอยู่ได้ แต่ก็ดีนะ เพราะธุรกิจรับจ้างพวกนี้ คาดการณ์กำไรยาก ไม่แน่นอน ถ้ากำไรไม่เหลือ ก็เอาเถอะ 


รายได้จากธุรกิจสื่อ มาจาก สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ สื่อในธุรกิจโมเดิร์นเทรด สื่อสิ่งพิมพ์ รับจ้างผลิตละคร รายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์โฆษณา ลาลีก้า

*Opp Day

แต่หลักๆ ก็เน้นไปที่ สื่อทีวีดาวเทียม และ วิทยุ 

*Opp Day

*Oppday 


ส่วนที่ผมสนใจ
  • รายได้ที่จะเพิ่มขึ้นมาจาก ธุรกิจสื่อ Sat TV ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต ลองดูในรูปดู รายได้จาก SAT TV เพิ่มขึ้นอย่างมาก
  • ปัจจุบัน มีคนดู TV จาก SAT TV มากขึ้นเยอะ ประมาณ 70% แล้ว 
  • RS เป็นเจ้าของช่องรายการ SAT TV ติดอันดับต้นๆ คือ ช่อง 8 และช่องสบายดี TV ส่วนช่อง You channel ก็ทำได้ดี แต่ Star Max พึ่งเริ่มต้น เพราะในอดีต เป็นช่องที่ไม่ได้เรตติ้งเลย เลยเปลี่ยนรูปแบบช่องไปเลย 
  • ในส่วนของ WORK ผมสังเกตุว่า ช่อง Work Point TV สามารถทำรายได้ กำไรได้ค่อนข้างสูง คือ รายได้ 140ล้านบาท กำไร 45ล้านบาท แต่มีช่องเดียว ซึ่ง WORK ฐานกำไรค่อนข้างสูง ปี55 กำไร 400ล้านบาท 
  • ในส่วนของ RS ผมมองว่า มีช่อง 4 ช่อง (แต่คิดจริงๆ เอาแค่ 2 ช่องก็พอ) ซึ่งฐานกำไรในปี 281ล้านบาท (แต่กำไรมันหดลงเรื่อยๆ จนปี 54 เลยนะ เสียววุ๊ย) คิดว่าน่าจะมีโอกาสในการเพิ่มของกำไรมากกว่านั้น (ฐานกำไรต่ำกว่า แต่มีช่องมากกว่า)
  • ได้ฟังมา ช่อง 8 กับช่อง สบายดี มีเรตติ้งดีกว่าช่อง 5 และ ช่อง 9 อีก ซึ่งค่าโฆษณาของช่อง 5 กับ 9 นั้น อย่างต่ำก็ราวๆ 5หมื่นบาทต่อนาที แต่ช่องของ RS ค่าโฆษณาเฉลี่ย ราวๆ 8000บาทต่อนาที และค่าโฆษณาช่วงที่แพงที่สุด 2หมื่นบาทต่อนาที ซึ่งยังถูกกว่าขั้นต่ำมาก
  • ในส่วนของ ธุรกิจRadio นั้น ก็ถือว่าน่าจะดีในอนาคตอยู่ แต่ไม่ได้หวังในส่วนนี้มากนัก
  • *สนใจแต่เรื่อง SAT TV นี่ล่ะ

แต่ก็มีความเสี่ยง ด้วย
  • รายได้จากเพลง ที่ลดลงเรื่อยๆ กับรายได้จากโชว์บิต ที่ไม่ค่อยมีกำไร และได้งานมาเป็นครั้งคราวทำให้กำไรขึ้นๆลงๆ ทำให้เป็นความเสี่ยงอยู่ 
  • การละเมิดลิขสิทธิ์ ที่ค่อยข้างรุนแรง และสังคมไทยก็ยอมรับกันอีก กฎหมายก็ไม่รุนแรง แถมการบังคับใช้ก็ไม่ค่อยมีผลเลย 
  • ความเสี่ยงในตัวศิลปิน เรื่องย้ายค่าย (เท่าที่เห็นก็ไม่ค่อยมีปัญหานะ)
  • ความเสี่ยงของ SAT TV ในเรื่องของค่าสัมปทาน (ส่วนตัวว่าไม่มีปัญหา)
  • ความเสี่ยงที่ต้องประมูล digital TV 
  • เรื่องของเศรษฐกิจก็เีกี่ยวข้องเยอะ ถ้าเริ่มแย่ บริษัทส่วนใหญ่คงตัดงบโฆษณาออกก่อนเลย 
  • พวกกลุ่มนี้ ต้องอาศัย connection เยอะ ถ้าสมมุติ คนที่เป็นส่วนนี้ ลาออก เสียชีวิตไป แย่แน่ๆ 
  • ธุรกิจ ต้นทุนคงที่ ถ้ารายได้หด อ๊วกแตกครับ เพราะรายได้จากค่าโฆษณาTV มันจะนับเป็นนาที ถ้าหายไป กำไรจะลดแรงมาก 
  • ธุรกิจดาวเทียม เราไม่สามารถบอกได้ว่า จะขึ้นราคาได้แค่ไหน แล้วก็จะโฆษณาได้ขนาดไหนด้วย กฎหมายยังไม่ชัด 
===============================
ข่าวที่น่าสนใจ 



===============================

มาดูหุ้นในแบบของผมล่ะักัน

ประเภทหุ้น

หุ้นโตเร็ว (Fast growers) บริษัทขนาดเล็กขนาดกลางที่มีอัตราการเติบโตที่สูงมากประมาณ 20 -25% ต่อปี เป็นหุ้นที่เหมาะจะถือในระยะยาว

เชื่อว่า การมี Sat TV จะเป็นตัวผลักดันรายได้และกำไรนะครับ จากที่เขียนไว้ข้างต้น และจากการคุยกับ IR RS ก็มีการบอกว่า Media Breakdown ก็ถือว่าสบายใจได้อยู่ รายได้ที่เพิ่มส่วนใหญ่จะมาลงที่กำไร ในปีนี้ มีการเพิ่มค่าโฆษณาค่อนข้างเยอะ และยังสามารถเพิ่มค่าโฆษณาได้อย่างต่อเนื่องอีกหลายปี เมื่อเทียบกับค่าโฆษณาของ free TV 

เรื่องของสินค้า การซื้อการขาย ลูกค้า คู่ค้า

1 สินค้าที่ใช้แล้วหมดไป

ธุรกิจเพลง จะจัดอยู่ในสินค้าใช้แล้วหมดไปดีไมน้า เพราะมันเป็นข้อมูล เดียวฟังหมดก็ยังไม่หมด แต่สำหรับตอนนี้ ผมมองว่า ให้มันทรงๆไปเรื่อยๆ ก็พอ

ธุรกิจโชว์บิต เป็นธุรกิจที่ทำขึ้นแล้วหมดไป แต่มีปัญหาในแง่ของ มันเป็นการจัดครั้งเดียวมากกว่า คาดการณ์กำไรค่อนข้างยาก 

ธุรกิจสื่อ โฆษณา รายการทีวีและวิทยุ เป็นกลุ่มบริการอยู่แล้ว ยังไงก็ไม่เหลือ
*เน้นโฆษณาเป็นหลักล่ะกัน เพราะผมชอบหุ้นตัวนี้เพราะเรื่องโฆษณานี่ล่ะ

2 สินค้าทดแทน

ธุรกิจเพลง น่าจะเป็นเพลงจากต่างประเทศมากกว่า ไม่ก็ค่ายอื่น แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับลูกค้าเป็นหลักอยู่ดี

ธุรกิจโชว์บิต เรื่องคอนเสริต ไม่แน่อนาคตอาจโชว์ผ่านอินเตอร์เน็ตก็ได้ แต่ปัจจุบันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

ธุรกิจสื่อ อันนี้มีสินค้าทดแทนค่อนข้างเยอะ เช่นป้ายโฆษณา หรือโฆษณาตามที่ต่างๆ แต่ตลาดใหญ่โดยรวมก็ยังเป็นของสื่อทีวีอยู่ (ในอนาคต สื่ออินเตอร์เน็ต จะมีบทบาทมากขึ้นแน่ๆ ต้องดูกันต่อไป)

3 สินค้าที่มีแบรน และคนซื่อสัตย์ในแบรนด้วย

ธุรกิจเพลง เป็นแบรนด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว

ธุรกิจโชว์บิต เป็นแบรนด้วยตัวเองเหมือนกัน (ดาราคือแบรน)

ธุรกิจสื่อ อันนี้ คงบอกยาก แต่ตามที่เคยบอก คนที่มาซื้อเวลาโฆษณา ส่วนใหญ่ ก็มักมี connection กับคนขายอยู่แล้วครับ มันไม่ใช่แบรน แต่เป็น Connection 

นอกจากนั้นธุรกิจสื่อ มันขึ้นอยู่กับว่า เรตติ้งช่องไหนดี ช่องนั้นก็มีอำนาจในการขึ้นค่าโฆษณามากที่สุด

4 อำนาจในการต่อรองจากซัพพลายเออร์

ธุรกิจเพลง ธุรกิจโชว์บิต
เข้าใจว่า ซัพพลายเออร์ คือ นักแสดง ดาราเป็นหลัก ก็คงจะมีอำนาจค่อนข้างน้อยในการต่อรอง (ดูจากธุรกิจโชว์บิต ที่มีกำไรน้่อยมาก) เพราะยังไงก็ต้องให้ดาราอยู่ได้ด้วย

ธุรกิจสื่อ ไม่มีอำนาจในการต่อรองเลย เพราะว่า ซัพพลายเออร์ที่แท้จริงคือ คนที่หน้าดูอยู่หน้าจอ อำนาจของเขาคือรีโมท เราไม่มีสิทธิ์ไปบังคับเลย แต่โดยรวมแล้ว ถ้าสามารถทำให้ช่องรายการเป็นที่น่าสนใจต่อคนกลุ่มใดๆ ก็จะสามารถเรียกคนดูได้ดีกว่า

5 อำนาจการต่อรองจากลูกค้า

ธุรกิจเพลง สำหรับรายย่อย เราไม่มีอำนาจในการต่อรองเลย แต่ถ้าเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์การใช้เพลง ก็จะถูกเก็บลิขสิทธิ์ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า เพลง หรือ ดารา มีชื่อเสียงมากแค่ไหนด้วย ถ้ามีมาก ก็จะได้อำนาจค่อนข้างดี

ธุรกิจโชว์บิต ขึ้นอยู่กับความมีชื่อเสียงของดาราด้วย อย่างคนดังมากๆ บัตรก็หมดอย่างเร็วเลย แต่ถ้าไม่ค่อยดัง ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

ธุรกิจสื่อ กลุ่มนี้ ถ้ารายการ TV หรือ วิทยุ ช่องไหน คนดูเยอะ คนฟังเยอะ ลูกค้า(คนซื้อช่วงเวลาโฆษณา) ก็ต้องซื้อล่ะ ไม่มีทางเลือกเลย ต้องยอมจ่าย ถ้าอยากโฆษณาให้คนดูเยอะๆ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า จะทำยังไงให้คนดูเยอะ เรตติ้งดี

6 การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม

ค่อนข้างดุเดือดครับ แต่สุดท้าย ผู้ชนะก็จะชนะไปเลย คนแพ้ก็จะแค่พออยู่ได้ แต่ก็กำไรนิดหน่อยเท่านั้นเอง ที่ต่างประเทศก็มี case study แล้ว จะเหลือไม่ถึง 10 ช่องจาก 200 ช่อง ที่กำไรดี และเติบโตอย่างงดงาม ส่วนที่เหลือ ก็พออยู่พอกินไปเรื่อยๆ

7 การเข้ามาแข่งขันของผู้เล่นรายใหม่

ง่ายมาก เข้า่ง่าย แต่ก็ออกง่ายครับ ธุรกิจมันลอยๆ ลงทุนไม่เยอะ ที่เยอะมักเป็นค่าสังคม กับค่าคนมากกว่าครับ

8 วัตถุดิบ การสินค้าโภคภัณฑ์

-

9 โอกาสการเติบโตของสินค้า บริการ

การเพิ่มขึ้นของค่าโฆษณาของกลุ่ม SAT TV การเพิ่มขึ้นของ digital TV ด้วยส่วนต่างของค่าโฆษณาที่ห่างมากจาก free TV 

ที่จริงก็เขียนไปแล้วนะ ตอนต้น 

เรื่องของงบการเงิน ก็คงต้องดูในรายละเอียดอีกทีนึง
*ไม่ืำทำการคาดการณ์อนาคตให้นะครับ ขอปิดไว้เป็นความลับ ลองไปคาดการณ์ดูเองนะครับ 



1 comment:

  1. อัพเดตหน่อยครับพี่ รอติดตาม ^_^

    ReplyDelete