ต้องขอบอกก่อนนะที่นี่ ผมไม่ได้เรียนจบสาขาจิตวิทยา ผมก็ไม่ได้รู้จริงรู้ลึกในเรื่องนี้
ที่ผมเขียน เกิดจากความเข้าใจส่วนตัว และเห็นว่ามันดี เลยขอเอามาพูด ในงานสัมมนา มุ่งเรียนรู้ สู่ความมั่นคั่ง และเอามาลงในบล็อคส่วนตัวด้วย
ในอนาคต ก็อาจจะได้ไปพูดให้มือใหม่ที่เข้ามาในตลาดได้อีก
ในส่วนนี้ผมหวังว่า
- คนจะเข้าใจในเรื่องความคาดหวังที่น่าพอใจ
- ความผิดพลา่ดที่เกิดขึ้นจากจิตใจตัวเอง (จิตวิทยา) ในมุมต่างๆ
- คนที่คิดว่า มาร์ หรือ นักวิเคราะห์ได้เปรียบ รายย่อย จะเข้าใจได้ถูกต้อง
สำหรับการพูด ผมไม่ได้คิดตังค์นะครับ เพราะผมไม่ใช่ผู้เชียวชาญขนาดนั้น เป็นเพียงคนที่อยากแบ่งปันความรู้เท่านั้นนะครับ
*จะให้สนุก ก็ลองอ่านไป นึกถึงตัวเองไปนะครับ
*จะให้สนุก ก็ลองอ่านไป นึกถึงตัวเองไปนะครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคาดหวัง จิตวิทยา Part 1
บทความสำหรับมือใหม่
เข้ามาในตลาด หวังอะไรกันบ้างครับ?
ทุกคนที่ผมรู้จัก รวมทั้งผมเอง หวังกำไรแน่นอน (มองกระจกตาก็เป็นเงินแล้ว) ไม่มีใครเข้ามาอยากแจกเงิน อยากจนหรอกครับ
มีคำถามมากมายที่ถูกถามขึ้น "มีเงินแสนนึง ขอกำไรวันล่ะพัน ก็อยู่ได้แล้ว" "ขอกำไรวันล่ะช่องได้ไม"
ต้องขอกล่าวถึงคนเก่งๆก่อน
บัตเฟต์ได้ 22% ต่อปีมา40ก่าปีแล้ว
ปีเตอร์ลินได้29% ต่อปีมา13ปี
ดร.นิเวศน์ ได้ 40%ต่อปีมา 16ปี
*ผิดพลาดขออภัยครับ
เงินฝากออมทรัพย์ 1-2%
ฝากประจำ 2ปี 2-3%
ดอกเบี๊ยราวๆ 6-7%
ซึ่งลองคิดเล่นๆดู ถ้าได้ 24%ต่อปี คิดว่าทำได้ไม ส่วนใหญ่ทุกคนที่ฟังผม มักบอกว่าไม่ได้ เพราะ ขนาดเซียนยังได้แค่นั้น
ลองมาแตกดูเป็นช่วงเวลาที่แคบลง
24%ต่อปี 2%ต่อเดือน 0.5%ต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 1ช่องต่อสัปดาห์
ที่กลับมาเรื่องคำถามในตอนแรก "มีเงินแสนนึง ขอกำไรวันล่ะพัน ก็อยู่ได้แล้ว" "ขอกำไรวันล่ะช่องได้ไม"
มีเงินแสน กำไร พัน ก็คือวันล่ะ 1% ส่วนทำกำไรวันล่ะช่อง คือวันล่ะ 0.5%
ซึ่งถ้าเปลี่ยนเป็นกำไรต่อปีแบบไม่ทบต้น จะได้ประมาณ 200% กับ 100% ต่อปี ซึ่งเป็นเป้าหมายที่คนที่เข้ามาในตลาดใหม่ๆ ตั้งเอาไว้ (รวมทั้งผม)
*แต่ในอีกหลายๆคน ก็เข้ามาด้วยความหวังที่ต่ำกว่านั้นเยอะก็มีนะ
ซึ่งความคาดหวังระดับนี้ ไม่ได้รวมค่าคอมไว้ด้วย
ถ้าคนที่ไม่ได้อ่านบทความนี้ คงบอกว่า ค่าคอมนิดเดียวเอง ประมาณ 0.2 %ต่อครั้งเอง
ลองคิดดีๆ ถ้า 0.2%ต่อครั้ง วันนึงซื้อไปกลับ ก็เสีย 0.4%ต่อวัน หรือประมาณ 80% ต่อปี
แค่ซื้อขายทุกวัน จนสิ้นปี ถ้าคนกลุ่มนี้กำไรได้ แสดงว่าเขาทำกำไรได้มากกว่า 80%ต่อปี ซึ่งต้องบอกว่า เซียนจริงๆนะครับ แต่ผมเชื่อว่ามีจริง เพียงแต่พอหักค่าคอมอาจจะเสมอตัว เลยดูธรรมดาไปหน่อย
ในช่วงนี้ก็ต้องยอมรับหน่อย หลายๆคนได้กำไรทำให้มีความสุขกันทุกคน เงินก็ไหลเข้ามาจากความโลภของคน เพราะตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น การที่คนบางคนจะซื้อๆขายๆ จนได้กำไรทุกวัน เลยเป็นเรื่องปกติไป และดูเหมือนว่าจะทำได้
ยังไงก็ตาม ก็อยากฝากเรื่องความคาดหวังกันไว้ อย่าคาดหวังกันเยอะเกินไป เพราะหลายๆคนมองแค่เป็นวันๆเท่านั้นนะครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคาดหวัง จิตวิทยา Part 2
บทความสำหรับมือใหม่
เรื่องการลงทุนของหน้าใหม่ หลายคนชอบพูดว่า "มีเงินน้อย ขอลงทุนแบบง่ายๆได้ไม" "ไม่อยากศึกษามากเพราะเงินน้อย" "ขอหุ้นเลยได้ไม ตัวไหนขึ้น"
เรื่องมีเงินน้่อย เลยขอลงทุนแบบง่ายๆ หรือไม่อยากศึกษามาก เพราะเงินน้อย ต้องบอกตรงๆว่าเรื่องนี้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คนกลุ่มนี้รวยยาก
ผมพบคนหลายคนที่รวยไปแล้ว แต่เขาเริ่มจาก 0 เลย มีหลายๆคนเริ่มจากติดลบด้วยซ้ำ แต่ทุกคนล้วนพยายาม ศึกษา อดทน อย่างหนักเป็นช่วงเวลานึง จนเจอแนวทางของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นนักลงุทนระยะยาว หรือระยะสั้น (ในที่นี้ระยะสั้นหมายถึง ไม่ถึงปี) นักเทคนิคต่างๆ
คนหลายคนต้องเริ่มจากการคลำทางหาช่องทางเองด้วยซ้ำ หลายคนเอาชีวิตเข้าแลกกันทีเดียว (เอาเิงินที่มีทั้งหมดในบ้าน มาลงทุนในตลาด ถ้าพลาดก็จบ) กว่าพวกเขาจะมาถึงจุดที่เขาอยู่กันได้ทุกวันนี้ ก็ช้ำไปทั้งตัวเหมือนกัน
ต้องบอกว่าคนสมัยนี้ได้เปรียบ มีหนังสือดีๆมากกว่า(มีแปลไทยด้วย) บทความดีๆในอินเตอร์เน็ต มีเวปไซด์การลงทุนที่ดี มีการเปิดสอนเรื่องหุ้นเรื่องการลงทุนต่างๆ* มีทุกรูปแบบเท่าที่มนุษย์จะสรรหาได้ ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนระยะยาว การลงทุนระยะสั้น(รายไตรมาส) การลงทุนจิตวิทยา การลงทุนเทคนิคที่แตกสาขาได้อีกเยอะ (เช่น EMA MACD RSI แต่ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่) การลงทุนในกลุ่มสินค้าโภคพันธ์ การลงทุนด้วยญาณทิพย์(พวกเอาดวงเอาดาวมาดู ซึ่งผมก็ไม่ขอพูดอะไรมากในส่วนนี้)
*ต้องระวังเรื่องการเปิดสอนเรื่องต่างๆด้วย บางครั้งอาจทำให้เราเสียเงินโดยใช่เหตุ สำหรับผม การเปิดโอกาสไปหาเพื่อนๆร่วมลงทุนน่าจะดีกว่า ตามงานต่างๆ มีมติ้ง หรือมีการจัดสอนฟรี
นอกจากนั้นก็ยังมีคนเก่งๆ ที่ออกมาบอกตามเฟสบุ๊ค เพจ เวปไซด์ต่างๆอย่าง pantip หรือเวปอื่นๆ ที่ออกมาแนะนำหุ้นต่างๆในช่วงนั้นๆ (แต่ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงว่า ทุกท่านจะเข้าไปหาหุ้นเด็ด หรือขอหุ้นคนอื่นนะครับ แต่อยากให้ไปดูความคิดของเขาดู ว่าเขาคิดยังไง ทำไมถึงเป็นแบบนั้นมากกว่า)
นั่นทำให้ผมรับรองเลยว่า คนสมัยนี้ สบายกว่าสมัยก่อนเยอะ ในเรื่องการหาข้อมูลต่างๆ แต่ก็มีปัญหานิดหน่อย บางทีข้อมูลมันเยอะเกินไป ทำให้เกิดปัญหาในแง่ข้อมูลเสียบ้าง แต่ก็ต้องฝึกฝนกันต่อไป
ยังไงถ้าอยากจะรวย ก็ต้องศึกษาว่าจะรวยยังไง ไม่มีใครมาป้อนอาหารเราตลอดหรอกนะครับ แต่ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ หาคนที่ไว้ใจได้จริงๆ หรือไปหากองทุน ด้วยตัวเองก็ยังดีนะครับ การที่ไม่อยากศึกษา ก็เหมือนกับการจะทำธุรกิจ แต่ไม่รู้อะไรเลย สุดท้ายเงินทั้งหมดที่ลง ไม่ว่าจะเยอะหรือน้อย มันก็จะค่อยๆสูญเสียจนหมดไป
ส่วนกรณีขอหุ้นเลยได้ไม ส่วนตัวแล้ว ผมมองแยกเป็น 3 กรณี
1.มีหุ้น ให้หุ้นไป กรณีนี้ มันเหมือนว่า อยากให้คนซื้อเยอะๆ หุ้นจะได้ขึ้น ก็กลายเป็นเรื่องปั่นหุ้นไป ซึ่งแน่นอน ส่วนใหญ่หลายคนที่เชียร์หุ้น ให้หุ้น ก็น่าจะเป็นแบบนี้เยอะ
2.ไม่มีหุ้น แต่ให้หุ้นไป กรณีนี้มีน้อย มันแปลกๆ ไหนว่าหุ้นดี ทำไมคุณไม่มีล่ะ น่าคิดเหมือนกัน แล้วทำไมไม่ให้หุ้นที่มี แสดงว่ามันอาจจะดี แต่เราก็ไม่มั้นใจ จะเห็นบ่อยๆ ในรายย่อยทั่วไป คือรู้มาว่าดี แต่ไม่กล้าซื้อ หรือเพราะไม่มีเงิน ก็เป็นได้
3.ไม่บอกหุ้น กรณีนี้มีน้่อย ที่จริงมันก็ดี แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ชอบ ประมาณว่ามีอะไรดีๆเก็บไว้คนเดียว แต่ที่จริงแล้วกรณีนี้่ เป็นอะไรที่ดีที่สุดในระยะยาวมากกว่า
หลายๆคนคงตั้งคำถาม ว่าทำไม ถึงไม่ยอมบอกหุ้นกัน ต้องบอกว่า แต่ละคนมองไม่เหมือนกัน ผมเองก็เคยโดนด่า เพราะเขามาถามหุ้นว่าแนะนำอะไร ผมก็แนะนำตามปกติ (ถือเป็นปี) แต่พอเขาซื้อปัป มันลงปุ๊ป ในวันนั้นเลย เขาเลยมาต่อว่าผม ซึ่งผมเชื่อว่า หลายๆคนที่เลิกให้หุ้นไป เพราะเรื่องนี้นี่ล่ะ มุมมองไม่เหมือนกัน
แล้วการขอหุ้นที่ผมเห็นบ่อยๆ คือขอหุ้นที่ขึ้นเลย ขอหุ้นที่ติด celling ขอหุ้นที่จะขึ้นในไม่กี่วัน(ปกติมักไม่เกิน 2วัน) ต้องอธิบายก่อนว่า นอกจากคนที่มีเงินเยอะจริงๆ ที่เขาต้องการซื้อหุ้นอย่างหนัก ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้แล้วว่า หุ้นตัวไหนจะขึ้นแรง หรือขึ้นเมื่อไหร่ หลายคนคิดว่าเซียนๆ หรือคนที่อยู่ห้องค้ามานาน สามารถบอกได้ เพราะหลายครั้งเขาก็บอกถูก แต่ถ้าดูดีๆ เขาบอกเมื่อหุ้นขึ้นแล้ว หรือเขาบอกผิดแล้วคุณก็ลืมไปอย่างรวดเร็ว
เขียนมาเยอะเริ่มออกทะเล ก็ขอสรุปในส่วนนี้นะครับ
ถ้าอยากรวย ให้เริ่มศึกษา ขยัน ในช่วงแรก ลองผิดลองถูก เหนื่อยหน่อย อดทนอดออม เก็บตังค์ไปเรื่้อยๆ ถ้ามาถูกทาง รวยแน่นอนครับ ด้วยอัตราผลตอบแทนทบต้นหลายๆปีนะครับ
อีกนิด หลายคนก็คงเชื่อว่า อย่าง วอแรน บัตเฟต เขาคงรวยอยู่แล้ว เขาเลยรวยที่สุดในโลก ผมอยากให้ลองอ่านประวัติเขาดูนะครับ อย่าง ดร.นิเวศ ก็เหมือนกัน หนังสือเล่มนึงที่ผมแนะนำของคุณ skyforever ก็น่าสนใจ เรื่อง 1ล้านบาทแรก ในชีวิต อยากให้อ่านดู
ก่อนจบเรื่อง ความคาดหวัง ในบทต่อไป เรื่องจิตวิทยา (ไม่เครียดครับ ขำๆ)
อยากให้คิดเล่นๆ ถ้ามีเงิน 100 บาท ฝากให้บัตเฟต์ช่วยทำกำไรปีล่ะ 22% ต่อปี เป็นเวลา 40ปี จะได้เท่าไหร่
สำหรับคนที่ตอบ 500 ,1000 ,2000 หรือ 1หมื่นบาท ผิดหมดเลยนะครับวิธีคิด เอา 1.22ยกกำลัง 40 คุณ 100 ก็จะได้คำตอบครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคาดหวัง จิตวิทยา Part 3
บทความสำหรับมือใหม่
ความมั่นใจเกินขนาด overconfidence
เป็นความมั่นใจเกินไปของมนุษย์ที่มักจะมองตัวเองในแง่ดีซะส่วนใหญ่ อย่างตั้งคำถามง่ายๆ ตลาดหุ้นมีผลตอบแทยเฉลี่ยประมาณ 12% ต่อปี (เริ่มจากปี 1975 เจอในเน็ต) และถ้าถามทุกคนที่เข้ามาในตลาด ว่าจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ เชื่อว่าทุกคนคิดว่าตัวเองจะได้มากกว่า 12%ต่อปีแน่นอน จาก part 1 ส่วนใหญ่คาดหวังประมาณ 100% ต่อปี ด้วยซ้ำ (วันล่ะ 0.5-1%)
เปลี่ยนคำถามหน่อย ถ้าเกิดถามคนที่ขับคนอยู่ ว่าตัวเองขับรถดีกว่าค่าเฉลี่ยหรือเปล่า แน่นอน 70-80% ตอบว่าขับดีกว่าค่าเฉลี่ย แต่ในความจริงแล้ว คนที่จะดีกว่าค่าเฉลี่ยได้ ก็ควรมีไม่เกิน 50%เท่านั้น แสดงว่าทุกคนมีความมั่นใจเกินขนาด
รู้ไมธุรกิจเกิดใหม่ มักจะล้มใน 5ปีแรก 90% แต่เวลาคุยกับเจ้าของธุรกิจ เกือบทุกคนจะบอกว่าธุรกิจของจะไม่ล้มใน 5ปีแรกแน่นอน และจะกลายเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แปลกแต่จริง
กลับมาเรื่องหุ้น ลองถามคนที่เข้ามาในตลาดอีกครั้ง "มั่นใจว่าเข้ามาในตลาดจะได้กำไรหรือเปล่า" แน่นอนทุกคนที่เข้ามาในตลาดย่อมหวังกำไรอยู่แล้ว แล้วใครขาดทุน? ถ้าคนส่วนนึงได้กำไร ต้องมีคนส่วนนึงขาดทุนแน่นอน
นอกจากนั้น การมั่นใจเกินขนาด ยังทำให้นักลงทุน ซื้อขายบ่อยขึ้นด้วย ด้วยความเชื่อที่ว่า จะสามารถซื้อถูกขายแพงได้ตลอดเวลา
ผมเคยเอากราฟให้กับนักลงทุนหน้าใหม่ดู ดูกราฟจากอดีต เกือบทุกคน แทบจะบอกเหมือนกันว่า ให้ซื้อจุดนี้ ขายจุดนี้ ซื้อๆ ขายๆ และผลลัพธ์ออกมาคือ ทุกคนทำกำไรมากกว่าการถือหุ้นนิ่งๆเป็นเท่าตัวเลย
จากนั้นผมเปลี่ยนรูป เอาหุ้นที่ ถ้าถือยาว ได้กำไรพอๆกับหุ้นก่อนหน้านี้ แต่ค่อยๆเลื่อนทีละวัน ให้เลือกซื้อ หรือขาย วันล่ะ 5วินาที สุดท้ายทุกคน ไม่มีใครได้กำไรเท่ากับการถือหุ้นเฉยๆเลย พอขึ้นหน่อยก็ขายกัน ยิ่งเพื่อนขาย ก็ยิ่งขายกันใหญ่ พอขึ้นแรงๆ ก็แห่ซื้อ มีคนพยายามเอาเทคนิคมาใช้ด้วย แล้วก็มาคุยกันตอนจบว่า รู้งี้ไม่ขายดีกว่า หรือรู้งั้ ขายตรงนี้ ซื้อตรงนี้ดีกว่า
สุดท้ายผมเอาหุ้นมาอีก 2 แบบ คือหุ้นที่ ไม่ไปไหนเลย กับหุ้นที่ แย่ลงเรื่อยๆ ผลลัพธ์ก็ค่อนข้างจะเสียหายอย่างหนักในหลายๆคน
*คนที่ลองมีประมาณ 10 คน แต่คนล่ะรอบกัน และไม่เคยเล่นหุ้นมาก่อนด้วยซ้ำ
ในตรงนี้ผมยังไม่ได้ให้รวม ค่าคอม ค่าเคาะซื้อเคาะขายด้วยซ้ำ
*ค่าคอมประมาณ 0.2% ไปกลับ 0.4%
*ค่าเคาะซื้อเคาะขาย ประมาณ 0.5-1% หมายถึง ถ้าจะซื้อ คุณมักจะเคาะซื้อที่ offer และถ้าคุณจะขาย ก็มักจะเคาะขายที่ Bid เลย ซึ่งโดยปกติ จะต่างกัน 1 ช่อง
เรื่องความมั่นใจเกินขนาด ยังทำให้หลายๆคน เลือกซื้อหุ้นที่มีความเสี่ยงมากขึ้น (เช่นหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าบาท เพราะ%ในการขึ้นลงจะสูงกว่าหุ้นราคามากกว่าบาท หุ้นที่มีข่าว มีการปั่นของราคา) หรืออนุพันธ์ เพราะเชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีจากส่วนต่างของช่วงที่ขึ้นแรงลงแรง และการเล่นหุ้นกลุ่มนี้ มักทำให้เห็นกำไรเยอะๆในระยะอันสั้น ซึ่งทำให้นักลงทุนรู้สึกดี แต่ในระยะยาวแล้ว การเล่นหุ้นกลุ่มนี้มักจะทำลายผลตอบแทนระยะยาวมากกว่า
เป็นเรื่องน่าสนใจ หุ้นที่พึ่งขึ้นแรงๆ มักจะมีคนหันมามองกันเยอะ และมีบทความเยอะ เชียร์หุ้นตัวนั้นๆ ซึ่งในระยะสั้นๆ มักจะดูดีเพราะได้กำไรกันส่วนใหญ่ แต่ในระยะแล้ว การซื้อหุ้นที่ลงแรงๆ มักให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการซื้อหุ้นที่ขึ้นแรงๆ (ว่าเป็นปีต่อปี)
ความมั่นใจเกินขนาดยังทำให้เกิด "ภาพลวงตาอีกด้วย" ทำให้คนคิดว่า เขามีพลังวิเศษ
อย่างกรณีเราเลือกซื้อหุ้นเอง เรามักคิดว่าหุ้นที่เราซื้อ จะขึ้นมากกว่าที่คนอื่นซื้อให้ (กองทุน) กรณีนี้ถ้าจะเห็นให้ชัดๆ คือ หวย หลายคนชอบฝัน ชอบคิด เลขขึ้นมา แล้วไปซื้อด้วยความมั่นใจว่า เลขนี้ มีโอกาสถูกกว่าเลขอื่น ก็มีให้เห็นบ่อยๆ
เรื่องลำดับผลลัพธ์ ว่าถ้าหุ้นตัวนึงขึ้น อีกตัวต้องขึ้น เช่นช่วงนึงที่ SSC เปลี่ยนผบ เปลี่ยนธุรกิจ ทำแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา เลยขึ้นมาเยอะมาก แต่หุ้น HTC ก็ขึ้นมาด้วย เพราะเห็นว่าธุรกิจคล้ายกัน หรืออย่างกรณี เสี่ยเจริญที่หุ้นตัวไหนขึ้น ตัวที่เหลือจะตามกันหมดเลย BJC SSC OISHI GOLD UV พวกนี้
เรื่องความคุ้นเคยของเหตุการณ์ เช่น ถ้าดอกเบี๊ยลด ธนาคารจะแย่ อสังหาจะดี มีQE ทองจะขึ้น หุ้นจะขึ้น
บางครั้งอย่างกรณีลำดับผลลัพธ์ ความคุ้นเคยมันก็กลายเป็นจริงได้ เพราะพอทุกคนคิดเหมือนกัน ซื้อพร้อมกัน หุ้นก็จะขึ้นจริงๆ ก็ยิ่งทำให้ทุกคนมั่นใจเหมือนกันว่า ลำดับผลลัพธ์ หรือความคุ้นเคยของเหตุการณ์จะเป็นจริง กลายเป็นภาพลวงตาที่เป็นจริงขึ้นมา ก็มีให้เห็นบ่อยๆ
หลังจากภาพลวงตาเป็นจริง ทุกคนก็จะยิ่งมั่นใจกันมากขึ้น ภาพลวงตายิ่งหนักขึ้น เป็นผลลัพธ์ทำให้คนทุ่มเงินกับหุ้นหนักขึ้นไปอีกเรื่อยๆ (ถ้ามองในแง่มูลค่า คุณกำลังซื้อหนักขึ้น ในราคาที่แพงขึ้นเรื่อยๆ)
สรุปเรื่องความมั่นใจเกินขนาด
คนทุกคนมักจะคิดว่าตัวเองอยู่เหนือค่าเฉลี่ย เป็นผลให้หลายๆคนพยายามเพิ่มผลตอบแทนจนเสียหาย และการที่มีความมั่นใจเกินขนาด ก็ทำให้เกิดภาพลวงตาขึ้นมา ซึ่งค่อนข้างเป็นอันตรายในการลงทุนระยะยาวด้วย
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคาดหวัง จิตวิทยา Part 4
บทความสำหรับมือใหม่
ความภาคภูมใจ และความเสียใจ (Pride & Regret)
ในเรื่องนี้เป็นเรื่องของความดีใจและความเสียใจตามหัวข้อเลย ซึ่งเพราะเรื่องความดีใจและเสียใจทำให้หลายคนขาดทุนมากเลย ถ้าเรามาลองเข้าใจตัวเองดู เราอาจจะลงทุนได้ดีขึ้นก็ได้
ลองสมมุติง่ายๆดู ถ้าผมถือหุ้น A อยู่นาน สักพัก มีคนมาแนะนำหุ้น B จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ถ้าผมยังเลือกหุ้น A ต่อ แต่หุ้น B ดันขึ้นจริงๆ ผมจะเสียใจแน่นอน เรียกว่า "ความเสียใจจากการละเลย" คือมีคนมาแนะนำ แต่ผมไม่ทำ ผมเลยพลาด
แต่ถ้าผมขายหุ้น A ทิ้ง แล้วมาเลือกหุ้น B แทน แล้วหุ้น A ที่ผมถือมานาน ดันขึ้น ผมก็เสียใจอยู่แล้ว เรียกว่า "ความเสียใจจากการลงมือทำ"
โดยพื้นฐานแล้ว ไม่ว่าผมจะอดกำไรหุ้น B จากข้อแรก หรืออดกำไรจากหุ้น A จากข้อสอง ผมก็ควรจะเสียใจเท่ากัน ถ้าอดกำไรเท่ากัน
แต่ไม่ใช่เลย เรื่องของจิตใจจะทำให้คุณรู้่สึกเสียใจจากการลงมือทำ มากกว่า เสียใจจากการละเลย ลองดูตัวเองดู เวลาคนอื่นมาบอกหุ้น แล้วหุ้นเขาที่บอกขึ้นตอนเราไม่มี หรือ หุ้นเราดันขึ้นเมื่อขายไปแล้ว อันไหนเจ็บกว่ากัน
เหตุการณ์นี้ทำให้คนกลุ่มนึง ที่ถือหุ้นบางตัวมาอย่างยาวนาน ไม่อยากขายหุ้นที่ถือ แม้ว่าธุรกิจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม เพราะเขากลัวที่จะ เสียใจจากการลงมือทำ หรือเสียใจเมื่อขายแล้วขึ้น
เรื่องของความภูมิใจ และความเสียใจ ก็ยังมีมากกว่านั้น
คนส่วนใหญ่มักจะหลีกเลี่ยงความเสียใจ และพยายามหาความภูมิใจมากกว่า เขียนแบบนี้คงจะงงกันหมดล่ะ
สมมุติ ผมมีหุ้น A กำไรอยู่ 20% และหุ้น B ขาดทุน 20% คิดว่าผมจะขายตัวไหนเอ๋ย?
นักลงุทนส่วนใหญ่มักจะขายหุ้น A ทำกำไรไปก่อน และเก็บหุ้น B ที่ขาดทุนไว้ เพราะการขายหุ้น A ออกมาทำให้นักลงทุนกลุ่มนั้นเกิดความภูมิใจ ได้กำไรแล้ว แต่หุ้น B ที่ขาดทุน เขาจะไม่ยอมขาย เพราะเขากลัวว่ามันจะขาดทุนจริง ดังวลีที่ว่า "ไม่ขายไม่ขาดทุน" เป็นผลลัพธ์ทำให้ นักลงทุนกลุ่มนี้ เก็บหุ้นที่ขาดทุนไว้มากในพอร์ท
นอกจากนั้น ในจำนวนเงินเท่าๆกัน ที่กำไร และขาดทุน คนจะให้ความรู้สึกเสียใจจากการขาดทุนรุนแรงกว่า ภูมิใจจากกำไร เท่าตัว (มีคนไปศึกษามาแล้ว)
และความภูมิใจ และความเสียใจในเรื่องกำไร หรือ ขาดทุน ยิ่งมาก ความรู้สึกจะขึ้นน้อยลงเรื่อยๆ
เช่น ความรู้สึกเมื่อมีเงิน 1แสนบาทแรก คุณจะรู้สึกดีใจ หลังจากนั้น พอคุณเก็บเงินได้ 1ล้านบาท คุณก็จะดีใจมากกว่าคุณเก็บเงินแสนบาทแน่นอน แต่มันไม่ได้ภูมิใจเป็น 10 เท่า มันแค่มากกว่าเท่านั้น
*ลองดูในภาพนะครับ
ในส่วนนี้ก็เป็นเหตุผลที่จะบอกเรื่องแรก ทำไมไม่ขายหุ้น B ที่ขาดทุน 20% ไปด้วยพร้อมหุ้น A ที่กำไร 20% เพื่อให้ผลลัพธ์ ไม่ขาดทุน ไม่กำไร
เพราะคนส่วนใหญ่ รู้สึกขาดทุนรุนแรงกว่ากำไร ทำให้ไม่กล้าขายออกมา
เรื่องต่อมาเป็นเรื่องของ จุดอ้างอิง Reference Points
สมมุติ คุณมีหุ้น A คูรซื้อที่ ราคา 50 บาท ไม่นานนักหุ้นตัวนี้ วิ่งไปถึง 100 บาท จากนั้นไม่นาน มันก็ค่อยๆไหลลงมา ที่ 75 บาท ถ้าคุณขายหุ้น A ไป จะรู้สึกยังไง
ตามหลักการแล้ว ควรจะดีใจ เพราะว่าคุณขายได้กำไร 25 บาท แต่ผลจริงๆกลับไม่ใช่ เพราะคุณกำลังเสียใจว่า "ขาดทุนกำไรไป 25 บาท" เพราะมันเคยขึ้นไปถึง 100 บาท แต่กลับไม่ได้ขายไป ทั้งที่ในความเป็นจริง แทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย ที่จะขายได้จุดสูงสุด
*การที่จะขายได้จุดสุงสุด ซื้อที่จุดต่ำสุด มีทางเดียว คือคุณต้องเงินเยอะมากๆ เลยถล่มซื้อ ถล่มขายได้ นอกนั้น ฟลุ๊ค
นักลงทุนส่วนใหญ่มักเอาจุดสูงสุดของหุ้นตัวนั้นๆ มาเป็นจุดอ้างอิงเสมอ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า แนวต้านนั้นเอง (ทุกคนอยากจะขายที่จุดสูงสุด เลยตั้งๆกันไว้)
ผลของจุดอ้างอิงจะทำให้ คนพยายามขายหุ้นที่ จุดสูงสุดให้ได้ ทำให้ขายเร็วเกินไปในหุ้นที่ new high หรือหุ้นบางตัวราคาขึ้นไปตลอดเวลา ก็จะทำให้ คนส่วนใหญ่ ขายไปกันหมดอย่างรวดเร็วมาก
นอกจากนั้น จุดอ้างอิงยังมีผลในเรื่องของการพยายามซื้อด้วย โดยคนมักจะอ้างอิงจุดต่ำสุดเสมอ ในส่วนนี้ ทำให้คนหลายๆคน มักเข้าไปซื้อเวลาหุ้นตกแรงๆ เพราะรู้สึกว่า มันต่ำสุดแล้ว โดยรวมก็คล้ายๆกับ จุดอ้างอิงเวลาขาย ทำให้คนหลายคน ซื้อเร็วเกินไป เพราะคิดว่าตัวเองจะซื้อที่จุดต่ำสุดมากกว่า
สรุปเรื่อง ความภูมิใจ และความเสียใจ
ผลลัพธํที่เกิดขึ้นคือ คนมักจะรีบขายหุ้นที่มีกำไรไปเร็วมาก ทั้งเรื่องของความดีใจ และ พยายามขายในจุดที่คิดว่าจะได้กำไรมากที่สุด (ราคาสูงสุดจากราคาในใจ) ในรอบเล็กๆนั้น แต่จะเก็บหุ้นที่ขาดทุนไว้ เพราะไม่อยากเสียใจเวลาขาดทุน และมักจะซื้อหุ้นที่กำลังลงมา (อาจจะเกิดจากราคารายวัน หรือธุรกิจเปลี่ยน เข้าสู่สถาวะที่แย่ลง) อย่างรวดเร็ว ทำให้ขาดทุนอย่างหนัก
โดยเท่าไปแล้ว จะทำให้ผลตอบแทนแย่ลงเรื่อยๆ และจะได้ยินคำว่า "ถ้าหุ้นขึ้นไปที่ .... อีกรอบ ผมจะขาย" หรือ "ถ้าหุ้นลงไปที่ ... อีกรอบ ผมจะซื้อ" ซึ่งเป็นเรื่องของจุดอ้างอิง
ความคาดหวัง จิตวิทยา Part 4
บทความสำหรับมือใหม่
ความภาคภูมใจ และความเสียใจ (Pride & Regret)
ในเรื่องนี้เป็นเรื่องของความดีใจและความเสียใจตามหัวข้อเลย ซึ่งเพราะเรื่องความดีใจและเสียใจทำให้หลายคนขาดทุนมากเลย ถ้าเรามาลองเข้าใจตัวเองดู เราอาจจะลงทุนได้ดีขึ้นก็ได้
ลองสมมุติง่ายๆดู ถ้าผมถือหุ้น A อยู่นาน สักพัก มีคนมาแนะนำหุ้น B จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ถ้าผมยังเลือกหุ้น A ต่อ แต่หุ้น B ดันขึ้นจริงๆ ผมจะเสียใจแน่นอน เรียกว่า "ความเสียใจจากการละเลย" คือมีคนมาแนะนำ แต่ผมไม่ทำ ผมเลยพลาด
แต่ถ้าผมขายหุ้น A ทิ้ง แล้วมาเลือกหุ้น B แทน แล้วหุ้น A ที่ผมถือมานาน ดันขึ้น ผมก็เสียใจอยู่แล้ว เรียกว่า "ความเสียใจจากการลงมือทำ"
โดยพื้นฐานแล้ว ไม่ว่าผมจะอดกำไรหุ้น B จากข้อแรก หรืออดกำไรจากหุ้น A จากข้อสอง ผมก็ควรจะเสียใจเท่ากัน ถ้าอดกำไรเท่ากัน
แต่ไม่ใช่เลย เรื่องของจิตใจจะทำให้คุณรู้่สึกเสียใจจากการลงมือทำ มากกว่า เสียใจจากการละเลย ลองดูตัวเองดู เวลาคนอื่นมาบอกหุ้น แล้วหุ้นเขาที่บอกขึ้นตอนเราไม่มี หรือ หุ้นเราดันขึ้นเมื่อขายไปแล้ว อันไหนเจ็บกว่ากัน
เหตุการณ์นี้ทำให้คนกลุ่มนึง ที่ถือหุ้นบางตัวมาอย่างยาวนาน ไม่อยากขายหุ้นที่ถือ แม้ว่าธุรกิจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม เพราะเขากลัวที่จะ เสียใจจากการลงมือทำ หรือเสียใจเมื่อขายแล้วขึ้น
เรื่องของความภูมิใจ และความเสียใจ ก็ยังมีมากกว่านั้น
คนส่วนใหญ่มักจะหลีกเลี่ยงความเสียใจ และพยายามหาความภูมิใจมากกว่า เขียนแบบนี้คงจะงงกันหมดล่ะ
สมมุติ ผมมีหุ้น A กำไรอยู่ 20% และหุ้น B ขาดทุน 20% คิดว่าผมจะขายตัวไหนเอ๋ย?
นักลงุทนส่วนใหญ่มักจะขายหุ้น A ทำกำไรไปก่อน และเก็บหุ้น B ที่ขาดทุนไว้ เพราะการขายหุ้น A ออกมาทำให้นักลงทุนกลุ่มนั้นเกิดความภูมิใจ ได้กำไรแล้ว แต่หุ้น B ที่ขาดทุน เขาจะไม่ยอมขาย เพราะเขากลัวว่ามันจะขาดทุนจริง ดังวลีที่ว่า "ไม่ขายไม่ขาดทุน" เป็นผลลัพธ์ทำให้ นักลงทุนกลุ่มนี้ เก็บหุ้นที่ขาดทุนไว้มากในพอร์ท
นอกจากนั้น ในจำนวนเงินเท่าๆกัน ที่กำไร และขาดทุน คนจะให้ความรู้สึกเสียใจจากการขาดทุนรุนแรงกว่า ภูมิใจจากกำไร เท่าตัว (มีคนไปศึกษามาแล้ว)
และความภูมิใจ และความเสียใจในเรื่องกำไร หรือ ขาดทุน ยิ่งมาก ความรู้สึกจะขึ้นน้อยลงเรื่อยๆ
เช่น ความรู้สึกเมื่อมีเงิน 1แสนบาทแรก คุณจะรู้สึกดีใจ หลังจากนั้น พอคุณเก็บเงินได้ 1ล้านบาท คุณก็จะดีใจมากกว่าคุณเก็บเงินแสนบาทแน่นอน แต่มันไม่ได้ภูมิใจเป็น 10 เท่า มันแค่มากกว่าเท่านั้น
*ลองดูในภาพนะครับ
ในส่วนนี้ก็เป็นเหตุผลที่จะบอกเรื่องแรก ทำไมไม่ขายหุ้น B ที่ขาดทุน 20% ไปด้วยพร้อมหุ้น A ที่กำไร 20% เพื่อให้ผลลัพธ์ ไม่ขาดทุน ไม่กำไร
เพราะคนส่วนใหญ่ รู้สึกขาดทุนรุนแรงกว่ากำไร ทำให้ไม่กล้าขายออกมา
เรื่องต่อมาเป็นเรื่องของ จุดอ้างอิง Reference Points
สมมุติ คุณมีหุ้น A คูรซื้อที่ ราคา 50 บาท ไม่นานนักหุ้นตัวนี้ วิ่งไปถึง 100 บาท จากนั้นไม่นาน มันก็ค่อยๆไหลลงมา ที่ 75 บาท ถ้าคุณขายหุ้น A ไป จะรู้สึกยังไง
ตามหลักการแล้ว ควรจะดีใจ เพราะว่าคุณขายได้กำไร 25 บาท แต่ผลจริงๆกลับไม่ใช่ เพราะคุณกำลังเสียใจว่า "ขาดทุนกำไรไป 25 บาท" เพราะมันเคยขึ้นไปถึง 100 บาท แต่กลับไม่ได้ขายไป ทั้งที่ในความเป็นจริง แทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย ที่จะขายได้จุดสูงสุด
*การที่จะขายได้จุดสุงสุด ซื้อที่จุดต่ำสุด มีทางเดียว คือคุณต้องเงินเยอะมากๆ เลยถล่มซื้อ ถล่มขายได้ นอกนั้น ฟลุ๊ค
นักลงทุนส่วนใหญ่มักเอาจุดสูงสุดของหุ้นตัวนั้นๆ มาเป็นจุดอ้างอิงเสมอ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า แนวต้านนั้นเอง (ทุกคนอยากจะขายที่จุดสูงสุด เลยตั้งๆกันไว้)
ผลของจุดอ้างอิงจะทำให้ คนพยายามขายหุ้นที่ จุดสูงสุดให้ได้ ทำให้ขายเร็วเกินไปในหุ้นที่ new high หรือหุ้นบางตัวราคาขึ้นไปตลอดเวลา ก็จะทำให้ คนส่วนใหญ่ ขายไปกันหมดอย่างรวดเร็วมาก
นอกจากนั้น จุดอ้างอิงยังมีผลในเรื่องของการพยายามซื้อด้วย โดยคนมักจะอ้างอิงจุดต่ำสุดเสมอ ในส่วนนี้ ทำให้คนหลายๆคน มักเข้าไปซื้อเวลาหุ้นตกแรงๆ เพราะรู้สึกว่า มันต่ำสุดแล้ว โดยรวมก็คล้ายๆกับ จุดอ้างอิงเวลาขาย ทำให้คนหลายคน ซื้อเร็วเกินไป เพราะคิดว่าตัวเองจะซื้อที่จุดต่ำสุดมากกว่า
สรุปเรื่อง ความภูมิใจ และความเสียใจ
ผลลัพธํที่เกิดขึ้นคือ คนมักจะรีบขายหุ้นที่มีกำไรไปเร็วมาก ทั้งเรื่องของความดีใจ และ พยายามขายในจุดที่คิดว่าจะได้กำไรมากที่สุด (ราคาสูงสุดจากราคาในใจ) ในรอบเล็กๆนั้น แต่จะเก็บหุ้นที่ขาดทุนไว้ เพราะไม่อยากเสียใจเวลาขาดทุน และมักจะซื้อหุ้นที่กำลังลงมา (อาจจะเกิดจากราคารายวัน หรือธุรกิจเปลี่ยน เข้าสู่สถาวะที่แย่ลง) อย่างรวดเร็ว ทำให้ขาดทุนอย่างหนัก
โดยเท่าไปแล้ว จะทำให้ผลตอบแทนแย่ลงเรื่อยๆ และจะได้ยินคำว่า "ถ้าหุ้นขึ้นไปที่ .... อีกรอบ ผมจะขาย" หรือ "ถ้าหุ้นลงไปที่ ... อีกรอบ ผมจะซื้อ" ซึ่งเป็นเรื่องของจุดอ้างอิง